2551/09/08

ศาล รธน.ชี้ชะตา สมัคร วันนี้!! ชิมไปบ่นไปขาดคุณสมบัติ?




ศาล รธน.ชี้ขาดคุณสมบัติ สมัคร จัดชิมไป บ่นไป วันนี้ หากผิดเก้าอี้หลุดทันที ครม.กระเด็นด้วย เจ้าตัวท้าสาบานกลางศาลไม่เคยรับค่าตอบแทน หากทำจริงขอให้บรรลัยวายวอด ประกาศไม่ยุบ-ไม่ออก อยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตย สะพัด เติ้ง ชงสูตร 3-2-1 รอเสียบนายกฯ ส้มหล่น ด้านพันธมิตรลั่นนายกฯคนใหม่ต้องไม่ใช่ขั้วรัฐบาลเดิม
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 8 กันยายน นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี ในการรับจัดรายการ ชิมไป บ่นไป และรายการ ยกโขยง 6 โมงเช้า เป็นนัดสุดท้าย โดยนัดไต่สวน นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล กรรมการบริหารบริษัท เฟซ มีเดีย ผู้ผลิตรายการชิมไปบ่นไป และยกโขยง 6 โมงเช้า ทั้งนี้ นายสมัครเดินทางมาให้การด้วยตัวเอง ตั้งแต่เวลา 09.00 น. โดยก่อนเข้าให้การ นายสมัครปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ ต่อสื่อมวลชน แต่มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ด้านผู้ร้องที่ 1 ที่เดินทางมาศาล ได้แก่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และคณะ ส.ว.ที่เข้าชื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นที่น่าสังเกตว่ามี นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มานั่งอยู่บริเวณที่นั่งของผู้ร้องที่ 1 ด้วย ขณะที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้แก่ พ.อ.สันธิรัตน์ มหัทธนชาติ เลขาฯ อนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว เป็นตัวแทน ส่วนฝ่ายผู้ถูกร้องมีนายธนา เบญจาธิกุล ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายสมัคร เป็นผู้ไต่สวนพยาน ทั้งนี้นายธนาได้ซักถามนายสมัครถึงค่าตอบแทนในการทำรายการว่ามีการเรียกร้องหรือไม่ และมีการให้สัมภาษณ์ลงหนังสือในช่วงหนึ่งว่า ได้รับเงินเดือน 1 แสนบาท เป็นค่ารับรอง จริงๆ แล้วเงินส่วนนั้นรับเป็นลักษณะเงินเดือนหรือไม่ ซึ่งนายสมัครชี้แจงว่า เริ่มทำรายการตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. และไม่เคยมีการเรียกร้องค่าตอบแทน แต่จะได้เป็นค่าน้ำมันรถ และค่าจ่ายกับข้าว นอกจากนี้ไม่เคยมีเงินเดือน เพราะไม่ได้ทำติดต่อกันตลอด จะได้รายได้ก็ต่อเมื่อทำรายการเท่านั้น หรือนับเป็นครั้งๆ ไป โดยช่วงหนึ่งที่เป็นผู้ว่าฯ กทม.มีการตำหนิถึงเรื่องดังกล่าวก็หยุดดำเนินการไป บริษัทก็เอาเทปเก่ามาออกอากาศและก็ไม่ให้เงิน และการทำรายการเป็นการบันทึกเทป โดยเดือนหนึ่งบันทึก 4 ครั้ง สามารถออกอากาศได้ 4 ตอนใช้ได้ 1 เดือน รวมทั้งไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องการขอโฆษณาในรายการแต่อย่างใด ฉุนถูกซักเรื่องล้มคิ้วแตก-เงินภาษี ต่อมานายเรืองไกร ในฐานะผู้ร้อง ได้ซักถามนายสมัครว่า ในวาระครบรอบรายการชิมไปบ่นไป 7 ปี นายกฯ ไปทำรายการในฐานะพิธีกร ชื่อว่าข้าวผัดพันธมิตร ถูกต้องหรือไม่ นายสมัครตอบกลับทันทีว่า ไม่ถูกต้อง เพราะเขาเชิญสปอนเซอร์ทั้งหลายไปทำข้าวผัด แล้วให้ตนไปเป็นคนชิมว่าของใครอร่อย แต่ตนไม่ได้ทำ นอกจากนี้ นายเรืองไกรยังซักถามนายสมัครเกี่ยวกับการทำรายการยกโขยง 6 โมงเช้า ที่ จ.สิงห์บุรี ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่นายสมัครหกล้มคิ้วซ้ายแตก ปรากฏว่านายสมัครเกิดอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด โดยตอบกลับอย่างมีอารมณ์ว่า “แล้วมันเป็นยังไง คิ้วแตกเขาก็เป็นข่าว รู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วมันเป็นยังไง” ระหว่างนายเรืองไกรพยายามสอบถามนายสมัครเกี่ยวกับการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตอนที่ยังไม่ได้เป็นนายกฯ ร้อยละ 5 ครั้งละประมาณ 1 แสนบาท ซึ่งนายเรืองไกรตั้งข้อสังเกตว่า รายการหักภาษีของนายกฯ อยู่ในระดับสูงมากกว่าคนอื่น เพราะนายสมัครมีความสำคัญต่อการทำรายการของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด หรือไม่ ส่งผลให้นายสมัครกล่าวอย่างมีอารมณ์อีกครั้งว่า “จะถามผมแบบนี้มันเกิดเหตุมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องภาษีพวกนี้ ตอนที่ผมเป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ แล้วมันมีไหม ก่อนหน้านั้นมันเกี่ยวอะไรกับผม ผมไม่ต้องมีสถานะให้ต้องพิจารณา ผมจะไปทำอะไรและจะไปได้อะไรขนาดไหน ไม่ได้เกี่ยวข้อง คุณต้องพิสูจน์สิว่า หลังจากวันที่ 6 กุมภาพันธ์แล้ว ผมยังไปมีรายได้มากมายหรือไม่” ท้าสาบานให้บรรลัยถ้ารับค่าตอบแทน จากนั้นตัวแทนจาก กกต.ในฐานะผู้ร้องที่ 2 ถามนายสมัคร ว่า ทั้ง 2 รายการที่ทำมาเคยเรียกร้องค่าตอบแทนในฐานะที่ทำรายการหรือไม่ นายสมัครตอบว่า ไม่มี “ผมยืนยันและสาบานไว้ตรงนี้ด้วยว่า ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย ถ้าผมไปเรียกร้องอะไรเขาล่ะก็ ขออย่าให้ผมมีความเจริญ ขอให้บรรลัยวายวอดไปก็แล้วกัน แต่หากผมไม่ได้ทำอย่างนั้น ต้องให้ผมมีความเจริญรุ่งเรือง” นายสมัครกล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นศาลได้ไต่สวนนายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล โดยนายศักดิ์ชัยให้การยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักนายสมัครเป็นการส่วนตัวก่อนหน้าที่จะมีการติดต่อให้เป็นพิธีกรรายการ ซึ่งเริ่มดำเนินรายการในปี 2543 และนายสมัครก็ไม่เคยไปที่บริษัท หรือรู้ที่อยู่ของบริษัท เพราะการอัดรายการจะใช้สตูดิโอเป็นที่จัด การให้ค่าตอบแทนจะคิดในอัตราในลักษณะนักแสดงและพิธีกรรับจ้างทั่วไป จนกระทั่งเมื่อนายสมัครดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ก็ยุติไปช่วงหนึ่ง และนำเทปรายการเก่ามาตัดต่อ ก็สามารถออกอากาศไปได้ประมาณ 7-8 เดือน นายศักดิ์ชัยกล่าวต่อว่า กระทั่งช่วงใกล้จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ได้ทำหนังสือวันที่ 15 ธันวาคม 2550 สอบถามนายสมัครว่า จะทำหน้าที่พิธีกรต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งนายสมัครทำหนังสือตอบกลับมาว่า ได้ให้ฝ่ายกฎหมายดูแล้ว สามารถทำได้ เพราะเป็นในลักษณะรับจ้าง ไม่ใช่ลูกจ้างตามที่รัฐธรรมนูญห้ามไว้ แต่จะไม่รับค่าตอบแทนใดๆ ซึ่งบริษัทก็ได้จ่ายเป็นค่าน้ำมันให้แก่คนขับรถของนายสมัคร โดยคิดค่ารถเป็นกิโลเมตร หารเฉลี่ยค่าน้ำมันไปกลับ และบวกเพิ่มอีก 10-15% รวมทั้งค่ากับข้าว อย่างไรก็ตาม ไม่เคยสอบถามคนขับรถของนายสมัครว่านำเงินไปให้นายสมัคร หรือไปใช้จ่ายอะไรหรือไม่ จนกระทั่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ นายสมัครจึงบอกยกเลิกการเป็นพิธีกร นายศักดิ์ชัยยังให้การถึงการหาสปอนเซอร์โฆษณารายการว่า ไม่ได้เป็นการนำฐานะนายกรัฐมนตรีไปหาโฆษณา แต่สัญลักษณ์ของรายการที่เป็นรูปการ์ตูนพ่อครัวจมูกชมพู่ เป็นการแสดงถึงตัวตนของนายสมัครในทางส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ส่วนที่ระบุในเอกสารในการหาโฆษณาที่ระบุว่าพิธีกรเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เพื่อให้เกียรติ ไม่ได้หวังว่าจะใช้ฐานะนายกรัฐมนตรีมาหาโฆษณา ศาลรธน.นัดชี้ขาด 9 ก.ย.บ่ายสอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังทนายฝ่ายผู้ถูกร้อง และผู้ถูกร้องได้ซักค้านพยานแล้ว คณะตุลาการได้สอบถามในหลายประเด็น เช่น ใครเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายค่าลิขสิทธิ์รายการ สัญลักษณ์ของรายการที่เป็นรูปพ่อครัวจมูกชมพู่ รวมทั้งข้อเท็จจริงในการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่นายสมัคร เนื่องจากในเอกสารตอบกลับรับทำรายการของนายสมัครระบุว่า “จะทำรายการให้โดยจะไม่รับค่าน้ำมันอย่างที่เคย” หมายความว่าก่อนหน้านี้เคยจ่ายค่าน้ำมันให้หรือไม่ โดยนายศักดิ์ชัยยืนยันว่า ก่อนหน้าที่นายสมัครจะเป็นนายกฯ ได้จ่ายค่าเป็นพิธีกรในรูปแบบของนักแสดงหรือพิธีกรรับจ้างเท่านั้น ไม่เคยให้เป็นค่าน้ำมัน ซึ่งการระบุในเอกสารของนายสมัครน่าจะเป็นความเข้าใจผิด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะตุลาการได้ใช้เวลาสืบพยานทั้ง 2 ปากเป็นเวลา 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นคณะตุลาการได้ประชุมเพื่อกำหนดนัดอ่านคำวินิจฉัย โดยศาลนัดคู่ความฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 9 กันยายน เวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในวันอังคารที่ 9 กันยายน ว่านายสมัครมีคำผิดตามคำฟ้องจริง จะส่งผลให้นายสมัครจะต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในทันที ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7) แต่ความเป็น ส.ส.ยังคงอยู่ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีก็จะต้องสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีไปทั้งคณะ อย่างไรก็ตาม นายสมัครสามารถจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้เหมือนเดิม หากสภาผู้แทนราษฎรเสนอชื่อให้กลับมาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง สมัคร อารมณ์ดีบอก แล้วแต่ศาล เมื่อเวลา 16.10 น. หลังเสร็จภารกิจจากการเป็นประธานการประชุมอาเซียนเลกเชอร์ 2008 ที่กระทรวงการต่างประเทศ แล้ว นายสมัครปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าว กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีในวันที่ 9 กันยายนนี้ โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “แล้วแต่ศาล” จากนั้นก็เดินทางออกจากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อไปขึ้นเครื่องบินเดินทางไป จ.อุดรธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างร่วมงานที่กระทรวงการต่างประเทศนั้น นายสมัครยังคงอารมณ์ดีและร่วมร้องเพลงไทยเดิมให้คณะทูตและผู้ร่วมงานได้ฟังด้วย โดยเพลงดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ครม.ฝุ่นตลบ- เติ้ง ต่อสาย แม้ว ขณะที่กระแสข่าวศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตานายสมัครได้แพร่สะพัดออกไป ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างคึกคักในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะกระแสการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ล่าสุดมีรายงานข่าวจากพรรคพลังประชาชนว่า แกนนำในพรรคพลังประชาชน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรค นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นต้น ได้ร่วมประเมินการตัดสินคดีดังกล่าวของนายสมัคร โดยเห็นพ้องกันว่าแนวโน้มจะถูกตัดสินว่ามีความผิดสูง ซึ่งจะมีผลทำให้ต้องออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึง ครม.ที่จะต้องสิ้นสถานภาพไปพร้อมกันด้วย มีรายงานว่าแกนนำพรรคพลังประชาชนได้ประสานไปยังพรรคร่วมรัฐบาลให้เสนอชื่อนายสมัครกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง แต่ถูกแย้งกลับมาว่า หากนายกฯ ยังเป็นนายสมัครอยู่ อาจทำให้ปัญหาบานปลายหนักขึ้นไปอีก พร้อมกับเสนอว่าควรใช้รูปแบบรัฐบาลแห่งชาติ โดยให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมรัฐบาลด้วย เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเมืองเฉพาะหน้า ด้านแหล่งข่าวจากพรรคชาติไทยยืนยันว่า เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานายบรรหารได้โทรศัพท์ไปหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อประเมินสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น โดยนายบรรหารได้หารือและปรึกษาว่า พรรคร่วมรัฐบาลเกือบทั้งหมดจะถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล แต่ พ.ต.ท.ทักษิณขอร้องให้นายบรรหารเป็นตัวประสาน พร้อมยืนยันว่า หากนายสมัครลาออกจากตำแหน่งนายกฯ หรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจะเสนอชื่อนายบรรหารเป็นนายกฯ แทน "แต่พวกเรา (พรรคชาติไทย) ประเมินกันว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเสนอชื่อนายบรรหาร อาจจะเป็นเพียงแค่การซื้อเวลาเท่านั้น เพราะเท่าที่มีการเช็กข่าวก็พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ทาบทาม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มาเป็นนายกฯ แทนนายสมัครเช่นเดียวกัน ซึ่งนายบรรหารก็ไม่ได้ไว้ใจ พ.ต.ท.ทักษิณในเรื่องนี้ ถึงได้เสนอทางออกให้มีการยุบสภาแทน พร้อมเสนอไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณให้มีการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดยให้นายบรรหารขึ้นมาเป็นนายกฯ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์บ้านเมือง" แหล่งข่าวคนเดียวกันกล่าว อย่างไรก็ดี ถึงนาทีนี้มีความเป็นไปได้สูงที่พรรคร่วมทั้งหมดจะเห็นพ้องเสนอชื่อนายบรรหารเป็นนายกฯ คนใหม่ เพราะเชื่อว่าจะเป็นทางเดียวที่ทำให้พันธมิตรล่าถอยออกจากทำเนียบรัฐบาลได้ โดยที่ขั้วการเมืองยังไม่เปลี่ยนแปลง รายงานข่าวแจ้งว่า มีความเป็นไปได้ที่นายสมัครจะตัดสินใจยุบสภา หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองกดดันหนัก โดยนายสมัครจะบอกต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเช้าวันอังคารที่ 9 กันยายนนี้ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ชงสูตร 3-2-1 บรรหาร เสียบนายกฯ รายงานข่าวจากพรรคชาติไทยเปิดเผยว่า แกนนำพรรคชาติไทยได้รับการติดต่อจากพรรคพลังประชาชนว่า หากนายสมัครถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ และเป็นเหตุให้ ครม.ต้องหลุดทั้งคณะ พรรคพลังประชาชนเตรียมสนับสนุน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งแกนนำพรรคและนายบรรหารรับทราบเงื่อนไขของพรรคพลังประชาชนแล้ว โดยให้ความเห็นว่า แม้ว่าพรรคชาติไทยจะยังคงสนับสนุนให้คนของพรรคพลังประชาชนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ปัญหาก็ไม่ยุติ เพราะกลุ่มพันธมิตรได้ยื่นเงื่อนไขว่าจะไม่เอานายกฯ จากพรรคพลังประชานชน ดังนั้นพรรคชาติไทยจึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและลดแรงต้านจากสังคมได้ระดับหนึ่ง แกนนำพรรคจึงเสนอเงื่อนไขให้นายบรรหารเป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้ใช้สูตร 3-2-1 (บรรหาร-สมชาย-สุรพงษ์) แทนที่จะใช้สูตร 1-2-3 (สุรพงษ์-สมชาย-บรรหาร) ซึ่งพรรคชาติไทยแสดงความพร้อมที่จะให้นายบรรหารขึ้นเป็นนายกฯ โดยมอบหมาย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค เดินสายทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อประคองสถานการณ์ไปจนกว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 จะผ่านชั้นวุฒิสภา จากนั้นจึงจะมีการยุบสภา สมัคร ปราศรัยอุดรฯไม่ยุบ-ไม่ออก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.45 น. นายสมัครได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่สวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี ระบุว่า การเดินทางมา จ.อุดรธานี เพื่อมารายงานให้ทราบว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำความผิด ไม่ได้ทำความสกปรก และขอท้าทายให้ตรวจสอบได้ เราทำงานมา 7 เดือน รัฐบาลชุดนี้เข้ามาทำงาน ต่างประเทศก็หันหน้าเข้ามาคบค้า และจากการที่ได้พบทูตต่างๆ ก็บอกว่ารับไม่ได้ถ้ามีการปฏิวัติ นี่คือเหตุผลว่าทำไมตนต้องอยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตย บ้านเมืองนี้บริหารมาดีๆ แต่กลับมีคน 5 คน มาปลุกระดมให้ชิงชังรัฐบาลโดยไม่มีเหตุผล ตนรับไม่ได้ นายสมัครกล่าวต่อว่า ตนทำงานการเมืองมีความสุจริตเป็นที่ตั้ง และวันนี้ที่ทหารไม่ปฏิวัติ เพราะส่วนหนึ่งตนสามารถทำงานร่วมกับทหารได้ การโยกย้ายที่ผ่านมาทหารทุกคนก็พอใจ แสดงว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้ยุ่มย่ามกิจการทหาร อยู่เป็นเพื่อนเขา สนองงานเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน และทำงานรวมกับทางราชการได้ ทั้งที่มีคนยึดทำเนียบรัฐบาล เราต้องอดกลั้น สังคมนี้มันประหลาดทั้งที่มีคนยึดทำเนียบ นายกฯ กล่าวว่า วันอังคารที่ 9 กันยายนนี้ จะประชุม ครม.ตามปกติ และกำลังจะเจรจากับนายบรรหาร เพื่อจะไปประชุม ครม.สัญจรครั้งต่อไปที่ จ.สุพรรณบุรี เพราะตนตั้งใจจะไปพูดกับประชาชน และขอให้ประชาชนรักษาความสงบ ไม่ทำอย่างที่คนอื่นทำ ขอให้อยู่เฉยๆ และรักษาบ้านเมืองไว้ เมื่อไรที่มีอะไรที่ไม่เหตุผล ก็ค่อยโผล่ออกมา วันนี้จะมีการปลุกระดม ขอให้ทุกคนอยู่ในที่ตั้ง "ผมยืนยัน จะไม่ยุบสภา ไม่ลาออก และจะทำตามที่ชาวอุดรบอกว่า สู้ๆ" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื้อหาการปราศรัยของนายกฯ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ส่วนใหญ่จะเป็นการโจมตีกลุ่มพันธมิตรที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาล เลี้ยบ ปัดข่าวเตรียมนายกฯสำรอง ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ที่ จ.อุดรธานี ยืนยันว่า พรรคไม่ได้เตรียมการอะไรเป็นพิเศษในการรอฟังผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งปฎิเสธข่าวที่ว่าพรรคเตรียมคนสำรองไว้เป็นนายกฯ แทนนายสมัคร โดยยืนยันว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้จะต้องรอฟังคำพิพากษาก่อน จึงจะมีการพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป ต่อข้อถามว่า แนวโน้มที่จะให้นายสมัครเลือก คือยุบสภาและลาออกใช่หรือไม่ นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ไม่ใช่ เราอยากเห็นทางออกของบ้านเมือง เป็นไปในทิศทางที่ทุกคนเชื่อมั่น ตามวิถีทางประชาธิปไตย พปช.แฉขบวนการดันนายกฯคนกลาง นายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ให้สัมภาษณ์ว่าขณะนี้มีข่าวเชิงลึกว่ามีขบวนการเคลื่อนไหวนำคนที่ไม่ได้เป็น ส.ส.เข้ามาเป็นนายกฯ คนกลาง และมีการบีบให้นายสมัครลาออกหรือยุบสภา ถ้าทำแบบนี้จะต้องงดเว้นรัฐธรรมนูญหลายมาตรา ถือเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย ถ้ามีการเปลี่ยนแบบนอกระบบพรรคพลังประชาชนจะไม่ยอมร่วมมือด้วยอย่างแน่นอน โดยมีประชาชนทั่วประเทศที่ไม่เห็นด้วยพร้อมที่จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เพราะประเทศไทยจะเข้าสู่กลียุคเกิดสงครามประชาชนแน่ อย่างไรก็ตามทางกลุ่มเห็นว่า หากนายสมัครต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ก็พร้อมโหวตกลับให้นายสมัครกลับเข้ามาเป็นนายกฯ อีกครั้ง เหล่าทัพหนุนศาลคลี่คลายวิกฤติ รายงานข่าวจากแจ้งว่า บรรดาผู้นำกองทัพได้ร่วมกันหารือถึงสถานการณ์การเมืองที่กำลังตึงเครียด เพราะความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ก็เชื่อว่าที่สุดแล้วแต่ละฝ่ายจะเข้าใจและสามารถหาจุดร่วมกันได้ แม้ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายจะปฏิเสธมาร่วมเจรจากันก็ตาม อย่างไรก็ตาม เหล่าทัพเห็นว่า เมื่อกระบวนการทางศาล หรือกระบวนการยุติธรรม กำลังเดินหน้าทำหน้าที่ ก็อยากให้กำลังใจศาล เพื่อให้มีความเที่ยงธรรม มีประสิทธิภาพ และมีความกล้าหาญ เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองพ้นจากวิกฤติที่เกิดขึ้น เพราะศาลนับเป็นที่พึ่งสุดท้ายของคนไทยแล้ว



ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันที่ 9 กันยายน 2551
โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล ID : 5131601506
Section 2

ถก 3 ฝ่ายแนะถอยคนละก้าว แนะนายก ออก

การประชุมร่วม 3 ฝ่าย ประธานวุฒิสภา แนะสมัครลาออกเปิดทางตั้งรัฐบาลใหม่ และพันธมิตรฯต้องยุติการชุมนุมที่ประชุม 3 ฝ่ายความคืบหน้าการประชุมร่วม 3 ฝ่าย เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตประเทศ หลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ประกาศจุดยืนชัดเจนนายกรัฐมนตรีต้องลาออก ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช ยืนยันจะไม่ลาออก หรือยุบสภาตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ได้นำผลการหารือกับผู้บัญชาการทหารบก และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาแจ้งให้ที่ประชุมทราบ โดยผลการเจรจากับผู้บัญชาการทหารบก ตนเองได้แสดงความเป็นห่วงในสถานการณ์ขณะนี้ และอยากให้ทุกฝ่ายยึดความมั่นคงและประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก หันหน้าเข้าหากัน ถอยกันคนละก้าว ขณะที่ฝ่ายทหารได้ยืนยันหนักแน่น 2 ประเด็นหลัก คือ ไม่ให้ทหารใช้กำลังในการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ และทหารจะไม่ปฏิวัติรัฐประหารอย่างเด็ดขาด ซึ่งวิธีการทางรัฐสภา น่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดของบ้านเมืองในขณะนี้ ตัวแทนพรรคการเมืองร่วมประชุม3ฝ่ายแก้ไขปัญหาวิกฤตประเทศ โดยเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออก และกลุ่มพันธมิตรฯต้องยุติการชุมนุม สำหรับการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ได้ประสานไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการหารือกัน เนื่องจากเวลายังไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตามเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุด ทุกฝ่ายควรลดทิฐิ ถอยกันคนละก้าว พร้อมเสนอแนวทางปฏิบัติ คือ นายกรัฐมนตรีประกาศลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้มีการตั้งรัฐบาลใหม่ที่ทุกฝ่ายรับได้ ทำหน้าที่ชั่วคราวระยะสั้น ก่อนคืนอำนาจให้ประชาชนต่อไป หรือประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ส่วนพันธมิตรฯ ต้องเคารพอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และควรยุติการชุมนุม สำหรับแนวทางการทำประชามติที่นายกรัฐมนตรีเสนอ คณะทำงานเห็นว่าไม่น่าจะปฏิบัติได้ในขณะนี้.พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กล่าวก่อนเข้าร่วมประชุมร่วม 3 ฝ่าย เพื่อหารือแก้ปัญหาวิกฤติการเมืองว่า ทางเลือกในการแก้ไขปัญหา มีทั้งยุบสภา และให้นายกรัฐมนตรีลาออก แต่ขณะนี้ไม่สามารถเดาได้ว่านายกรัฐมนตรีจะเลือกแนวทางใด ส่วนการถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ยืนยันยังไม่มีการถอนตัวขณะนี้ด้านนายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า มารับฟังแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤติชาติที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยก่อนหน้านี้ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค บอกว่าการแก้ไขปัญหาต้องถอยกันคนละก้าว ทั้งนี้เชื่อว่าการเจรจาร่วมกันจะเป็นทางออกที่ดีในการแก้ไขปัญหา แม้ขณะนี้การเจรจาจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่หากมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะมีทางออก

ขอขอบคุณ www.sanook.com
โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล
ID : 5131601506 Section 2
สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง