2551/09/20

“ทักษิณ” พูดผ่านสื่อเทศอ้างถูกใส่ร้าย



พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก-รัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษสำนักข่าวรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ จากบ้านที่พักในย่านเซอร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ กรุงลอนดอน เมื่อ 18 ก.ย. หรือ 1 วัน ก่อนวันครบรอบ 2 ปี ที่เขาถูกก่อรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อ 19 ก.ย. 2549 โดยกล่าวว่า การที่ตนถูกกล่าวหาในคดีคอรัปชัน เป็นส่วนหนึ่งของแผนสมรู้ร่วมคิดโดยเหล่าศัตรูทางการเมือง ตนจะไม่กลับมาสู้คดีในประเทศไทย คดีที่มีมูลเหตุจูงใจจากการเมืองต้องแก้ด้วยวิถีทางการเมือง ตนถูกใส่ร้ายทางการเมือง จะกลับประเทศไทยเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ตอนนี้ต้องทุ่มเทเวลาให้กับลูกๆและภรรยา ขณะใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ
การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ภริยา ออกแถลงการณ์ เมื่อ 11 ส.ค. ว่าตนหนีประกันในคดีคอรัปชันไปอยู่ในอังกฤษ โดย พ.ต.ท.ทักษิณปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกรณีสภาผู้-แทนราษฎรลงมติเลือกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย เป็น นายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนนายสมัคร สุนทรเวช อย่างไร ก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณไม่วายกล่าวเสียดสีพันธมิตรประ-ชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กรณีที่ พธม.กล่าวหานายสมัครว่าเป็นหุ่นเชิดของตน และนายสมชายก็เป็นแค่ผู้นำคนใหม่ของกลุ่มโจร ว่า พธม.อยากพูดอะไรก็ให้พูดไป ต่อแต่นี้ไปทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการจะทำบนโลกนี้ คุณต้องได้รับอนุญาตจาก พธม.เสียก่อนจึงจะทำได้ พ.ต.ท.ทักษิณเผยด้วยว่า อยู่สุขสบายดีในบ้านพักที่อังกฤษ โดย น.ส.แพทองธาร ลูกสาวคนเล็ก กำลังจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ กิจวัตรประจำวันของตน คือการออกกำลังกายและไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูง ร่างกายตนแข็งแรงสมบูรณ์ดี แต่จิตใจไม่มีความสุข ใครที่ไม่ได้ ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับตนไม่รู้หรอกว่าตนรู้สึกอย่างไร
พ.ต.ท.ทักษิณยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับ การเจรจาขายสโมสรฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ให้ บริษัทในอาบู ดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีรายงานว่า มีมูลค่าถึง 200 ล้านปอนด์ สูงกว่าที่ซื้อมาในราคา 81 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2550 อย่างมาก แต่ พ.ต.ท.ทักษิณเผยว่า ตนกำลังเฝ้าติดตามวิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด ขณะนี้มีโอกาสมากมายในสหรัฐอเมริกา แต่ เนื่องจากเงินของตนถูกอายัด ตนจึงไม่มีโอกาสเข้าไปแสวงหาประโยชน์จากโอกาสที่ว่านี้

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย : นางสาว อนัญญา สืบสิน
ID. 5131601570 Section. 02

2551/09/15

เลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินกู้ท่องเที่ยวไม่ทัน ทัวร์นอกกลุ่มใหญ่ไม่มา-เอกชนชี้วิกฤติหนักต้องใช้เวลา

ท่องเที่ยวชี้ยกเลิกภาวะฉุกเฉินสายไป ทัวร์นอกกลุ่มใหญ่หนีไปเที่ยวประเทศอื่นแทน
ไทยดึงกลับมาได้แค่นักท่องเที่ยวทั่วไป ททท.เร่งทำความเข้าใจผ่านกิจกรรมโรดโชว์ เอกชนมองต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกนาน
นายสุรพล เศวตเศรณี รองผู้ว่าการด้านโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 14 กันยายน
ถือว่าทันการณ์สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป โดยเฉพาะยุโรปที่จองเข้ามาช่วงฤดูการท่องเที่ยวและรอดูสถานการณ์อยู่ แต่สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ กลุ่มสัมมนา และกลุ่มอินเซนทีฟ อาจถือว่าสายเกินไป อีกทั้งเป็นผลกระทบระยะยาว เพราะกลุ่มนี้ต้องมีการจองในระยะยาวกว่าการท่องเที่ยวปกติ
"ประเด็นการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกคลี่คลายไปแล้ว 1 ประเด็น ทำให้ ททท. ต้องมีมาตรการเร่งสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจในกลุ่มนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มการประชุมและสัมมนา และอินเซนทีฟ โดยจะให้น้ำหนักกับการสื่อสารผ่านกิจกรรมโรดโชว์ตามที่ททท.วางแผนไว้" นายสุรพลกล่าว
ด้านนายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า การยกเลิกภาวะฉุกเฉินจะช่วยประคับประคองการท่องเที่ยวในช่วงฤดูการท่องเที่ยวให้ลดลงไม่มากเท่าที่คาดไว้ ซึ่งแนวโน้มเป้าหมายการท่องเที่ยวเมื่อเทียบเคียงจากเป้าหมายของ ททท. จะลดลงจากที่วางไว้ โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจะเท่ากับปีที่ผ่านมาหรือ 14.5 ล้านคน และรายได้อยู่ในระดับประมาณ 5 แสนล้านบาท
“ต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะกู้วิกฤติครั้งนี้ เพราะครั้งนี้ถือเป็นวิกฤติท่องเที่ยวที่รุนแรงที่สุดรอบ 18 ปี ทั้งนี้คงต้องใช้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยเฉพาะล่าสุด การอนุมัติกองทุนเพื่อช่วยเหลือจากรมว.ท่องเที่ยว เชื่อว่าจะช่วยผู้ประกอบได้ในระดับหนึ่ง” นายอภิชาติ กล่าว
ด้านนายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน กล่าวว่า การประกาศยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลดีต่อนักท่องเที่ยวจีนมาก เพราะที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการหวั่นเกรงต่อประกาศดังกล่าวมาก จนคาดว่าหลังจากการยกเลิกทัวร์จีนในบางส่วน ก่อนหน้านี้ จะทำให้เป้าหมายนักท่องเที่ยวจากจีนในปีนี้ 1.5 ล้านคน อาจเหลือประมาณ 7.5 แสนคนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในวันชาติจีน ซึ่งอยู่ในวันที่ 1-10 ตุลาคมนี้ นักท่องเที่ยวบางส่วนตัดสินใจเดินทางไปสิงคโปร์ และมาเลเซียแทน อีกทั้งเครื่องเหมาลำได้ถูกยกเลิกทั้งหมดแล้ว ทำให้การเดินทางช่วงดังกล่าวคาดว่าจะได้เพียง 50% ของแต่ละเที่ยวบินเท่านั้น
ท่องเที่ยวชี้ยกเลิกภาวะฉุกเฉินสายไป ทัวร์นอกกลุ่มใหญ่หนีไปเที่ยวประเทศอื่นแทน ไทยดึงกลับมาได้แค่นักท่องเที่ยวทั่วไป ททท.เร่งทำความเข้าใจผ่านกิจกรรมโรดโชว์ เอกชนมองต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกนาน
นายสุรพล เศวตเศรณี รองผู้ว่าการด้านโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 14 กันยายน ถือว่าทันการณ์สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป โดยเฉพาะยุโรปที่จองเข้ามาช่วงฤดูการท่องเที่ยวและรอดูสถานการณ์อยู่ แต่สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ กลุ่มสัมมนา และกลุ่มอินเซนทีฟ อาจถือว่าสายเกินไป อีกทั้งเป็นผลกระทบระยะยาว เพราะกลุ่มนี้ต้องมีการจองในระยะยาวกว่าการท่องเที่ยวปกติ
"ประเด็นการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกคลี่คลายไปแล้ว 1 ประเด็น ทำให้ ททท. ต้องมีมาตรการเร่งสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจในกลุ่มนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มการประชุมและสัมมนา และอินเซนทีฟ โดยจะให้น้ำหนักกับการสื่อสารผ่านกิจกรรมโรดโชว์ตามที่ททท.วางแผนไว้" นายสุรพลกล่าว
ด้านนายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า การยกเลิกภาวะฉุกเฉินจะช่วยประคับประคองการท่องเที่ยวในช่วงฤดูการท่องเที่ยวให้ลดลงไม่มากเท่าที่คาดไว้ ซึ่งแนวโน้มเป้าหมายการท่องเที่ยวเมื่อเทียบเคียงจากเป้าหมายของ ททท. จะลดลงจากที่วางไว้ โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจะเท่ากับปีที่ผ่านมาหรือ 14.5 ล้านคน และรายได้อยู่ในระดับประมาณ 5 แสนล้านบาท
“ต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะกู้วิกฤติครั้งนี้ เพราะครั้งนี้ถือเป็นวิกฤติท่องเที่ยวที่รุนแรงที่สุดรอบ 18 ปี ทั้งนี้คงต้องใช้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยเฉพาะล่าสุด การอนุมัติกองทุนเพื่อช่วยเหลือจากรมว.ท่องเที่ยว เชื่อว่าจะช่วยผู้ประกอบได้ในระดับหนึ่ง” นายอภิชาติ กล่าว
ด้านนายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน กล่าวว่า การประกาศยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลดีต่อนักท่องเที่ยวจีนมาก เพราะที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการหวั่นเกรงต่อประกาศดังกล่าวมาก จนคาดว่าหลังจากการยกเลิกทัวร์จีนในบางส่วน ก่อนหน้านี้ จะทำให้เป้าหมายนักท่องเที่ยวจากจีนในปีนี้ 1.5 ล้านคน อาจเหลือประมาณ 7.5 แสนคนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในวันชาติจีน ซึ่งอยู่ในวันที่ 1-10 ตุลาคมนี้ นักท่องเที่ยวบางส่วนตัดสินใจเดินทางไปสิงคโปร์ และมาเลเซียแทน อีกทั้งเครื่องเหมาลำได้ถูกยกเลิกทั้งหมดแล้ว ทำให้การเดินทางช่วงดังกล่าวคาดว่าจะได้เพียง 50% ของแต่ละเที่ยวบินเท่านั้น

ที่มา : http://www.komchadluek.net/2008/09/16/x_eco_d001_221230.php?news_id=221230
โดย : นางสาว อนัญญา สืบสิน
ID. 5131601570 Section. 02

2551/09/13

ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินมีผลวันนี้ สมชาย วอนยุติความขัดแย้ง

สมชาย ควง อนุพงษ์ แถลงยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว มีผลตั้งแต่วันนี้(14ก.ย.) วอนทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งหันหน้าแก้ปัญหาชาติ
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ที่กองบัญชาการกองทัพไทย เมื่อเวลา 11.15 น.วันที่ 14 กันยายน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ ได้ร่วมกันแถลงยกเลิกประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อวันที่ 2 กันยายนแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายสมชาย กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันนี้สถานการณ์ความรุนแรงได้บรรเทาลงแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกต่อไป พร้อมกันนี้นายสมชายยังได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันเพื่อยุติความรุนแรงความขัดแย้ง "เราไม่มีเวลาที่จะขัดแย้งกันอีกแล้ว เพราะว่าขณะนี้ปัญหาของชาติมีอยู่อย่างมากมาย ที่ทุกฝ่ายควรร่วมกันแก้ไข"นายสมชายกล่าวและว่า ส่วนผู้ชุมนุมจะชุมนุมก็ได้แต่น่าจะเป็นพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งการหารือเพื่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการสร้างภาพเพื่อที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ต้องการที่จะสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในชาติ ไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคมอีกต่อไป

ขอขอบเนื้อหาจาก
by Sasiwimol Sakarapopkul ID : 5131601506 Section : 2 Major : Law

2551/09/12

พธม. ย้ำคำเดิมไม่รับนายกฯ จากพรรคพลังประชาชน [13 ก.ย. 51 - 12:49]



พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ร่วมกันแถลงข่าววันนี้ (13 ก.ย.) ที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล โดย พล.ต.จำลอง กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะยังคงชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาลจนกว่ารัฐบาลชุดนี้ จะพ้นจากตำแหน่งไป ส่วนกรณีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน (พปช.) นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ที่มีกระแสข่าวจะถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ นั้น กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ไม่ยอมรับ
แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า การจะยกเลิกการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ในเขตกรุงเทพฯ หรือไม่ ไม่มีผลต่อการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเรียกร้องให้ยกเลิกเพียงแต่องค์กรที่เสนอให้มีการยกเลิก เพราะการบังคับใช้ไม่ได้ผล และส่งผลให้เศรษฐกิจเสียหาย
พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า เป็นเรื่องดีที่มีหลายฝ่ายแสดงความคิดเห็นต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะการเมืองในระบบเก่าใช้ไม่ได้ผล จึงอยากให้ทุกฝ่ายร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า หากมีการเมืองใหม่เกิดขึ้นจะไม่รับตำแหน่งใดๆ
ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า อยากให้จับตา 5 วันอันตรายในช่วงนี้ ก่อนจะถึงวันที่ 17 ก.ย. ที่จะมีการตัดสินคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภริยา เพราะมีรายงานว่า มีประชาชนที่ยังสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณจะออกมาสร้างสถานการณ์ในช่วงนี้

ขอขอบคุณ www.thairat.co.th

โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล

ID : 5131601506 Section 2

สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ชนกันแล้ว

แล้วจะไม่หน้าม้านเข้าหากันหรือมีคำถามอย่างนี้ เมื่อเกมชิงเหลี่ยม เพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ระหว่าง ส.ส.เหนือกับกรุงเทพฯ และอีสานพัฒนา
บางส่วน ที่มี “ยงยุทธ ติยะไพรัช” เป็นหัวหน้าใหญ่ เปิดศึกกับฝ่าย ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน โดยฝ่ายแรกจะชู “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ในขณะที่ฝ่ายหลังยึดมั่น “สมัคร สุนทรเวช” ซึ่งศึกจบลงโดยฝ่ายเพื่อนเนวินชนะ เข็นสมัครกลับขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีรอบ 2 ได้ฉลุยเกมเดินหักโค่นกันขนาดนี้แล้วรองนายกฯ สมชาย จะมองหน้านายกฯ สมัครได้สนิทใจอย่างเดิมหรือ ก็มีคำตอบว่า ยังมองหน้ากันได้อยู่ เพราะมีคนกลางเป็นผู้ประสานก็ถามว่าคนกลางคือใคร ตอบว่าก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร”เกมหักโค่นที่จะดัน “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ขึ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่สู้กันในช่วงวันที่ 9-11 ก.ย.51 ถึงขนาดที่ฝ่ายเหนือต้องขอพึ่งฝีมือของ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็น ส.ส.แล้วนั้น ว่าไปแล้วมันก็คือเกมเก่า ที่เคยปะทะกันมาแล้วในช่วงวันที่ 17-19 ส.ค.51 ที่ ส.ส.กรุงเทพฯ กับเหนือในสายของ “2 เจ๊” ไม่พอใจที่เห็นว่าหัวหน้าพรรคสมัคร ปล่อยปละละเลยให้ สตช.ประจานหมายจับ “ทักษิณ+พจมาน” ทั้งที่นายกรัฐมนตรีกำกับดูแล สตช. จึงพากันเข้าชื่อ 200 คน ทำจดหมายเปิดผนึกให้หัวหน้าพรรคมาชี้แจงในที่ประชุมพรรค โดย “สงคราม กิจเลิสไพโรจน์” เปิดหน้าเล่นเป็นคนส่งจดหมายด้วยตัวเอง ซึ่งผลจบลงโดยเย็น 19 ส.ค.51 สมัครถือดาบเข้าไปไล่ฟัน ส.ส.กลางที่ประชุมพรรคเลือดสาดไปเป็นแถบสมัคร ถามว่าจะหยุดมั้ย ถ้าไม่หยุดก็เลิกกันเลยตอนนี้ ปรากฏว่าพวกที่เข้าชื่อทำจดหมายเปิดผนึกเงียบกริบ เพราะคืน 18 ส.ค.51 “ทักษิณ ชินวัตร” โทรศัพท์มาถึง ส.ส.ที่เป็นแกนนำจะล่อสมัครให้เลิก ก็รีบเลิกหนังม้วนเก่ากลับมาอีก ส.ส.เหนือ กรุงเทพฯ อีสานพัฒนากลุ่มน้อย จะดัน “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เป็นนายกรัฐมนตรีก็แพ้อีกคุณสมบัติที่คนอื่นไม่มี และทักษิณยังต้องพึ่งสมัครอยู่มี 2 ข้อ1.ความเป็นคนเลือดสีน้ำเงินของสมัครทำให้เบื้องบนเชื่อใจว่ายังไงก็ไม่คิดเป็นประธานาธิบดี2.เข้ากับทหารได้ดีแต่เวลานี้คุณสมบัติข้อ 2 ของสมัคร กำลังจะถูกท้าทายครั้งสำคัญ ในวันที่จะได้กลับขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีรอบ 2 ด้วยการโหวตของ ส.ส.6 พรรคร่วมรัฐบาล 9 โมงครึ่ง ศุกร์ 12 ก.ย.51ใครก็รู้และเห็นภาพตลอด ถึงความสนิทชิดของผู้ชาย 2 คน สมัครกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาสมัครโอ๋ทุกอย่าง ก็ขนาด พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหมของคณะปฏิวัติยังไม่กล้าเซ็นให้กองทัพบกซื้อรถเกราะโบราณลำเลียงพลของประเทศยูเครน แต่สมัครเซ็นให้ซื้อ และเพิ่งอนุมัติให้ซื้อปืนกล 5.56 มม. กระบอกละสองแสนกว่าบาทจากประเทศอิสราเอล ในการประชุม ครม.สัญจรที่อุดรธานี 8 ก.ย.51ขณะที่สมัครไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เช้า 11 ก.ย.51 ที่สนามบิน ขส.ทบ.ดอนเมือง ก่อนที่จะขึ้นเครื่องลงไปราชการภาคใต้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้แถลงกับนักข่าวว่า ได้เสนอต่อ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” รักษาการนายกรัฐมนตรีไปแล้วให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเห็นว่าตำรวจใช้กฎหมายอื่นก็ทำงานได้ โดยขอให้ทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานได้นี่คือการกระแทกครั้งสำคัญก่อนนี้สื่อไทยและเทศพากันวิเคราะห์ว่า การที่ พล.อ.อนุพงษ์ แถลงข่าวหลังได้เป็น ผอ.กอฉ.จะไม่ใช้กำลังเข้าสลายม็อบในทำเนียบรัฐบาล นั่นคือการที่สมัครสั่งทหารไม่ได้ และทันทีที่สมัครประชุม ครม.นัดพิเศษ ที่ บก.ทท. สั่งโอนอำนาจของรัฐมนตรีคนอื่นตาม พ.ร.บ. 20 ฉบับ มาเป็นของสมัครคนเดียว รวมทั้งการสั่งเคลื่อนย้ายกำลังรบก็ถูกสื่อวิเคราะห์ว่า สมัครยึดอำนาจคืน จนสมัครต้องออกมาแก้ว่า อำนาจที่โอนมานั้นยกให้ พล.อ.อนุพงษ์ในฐานะ ผอ.กอฉ.ไปหมดแล้ว แสดงว่ารัฐบาลไว้วางใจ พล.อ.อนุพงษ์แต่การที่ พล.อ.อนุพงษ์ ยื่นข้อเสนอให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินขณะที่สมัครไม่ได้เป็นนายกฯ แล้ว ภาระหนักจึงทุ่มใส่น้องเขยทักษิณ ซึ่งก็บอกนักข่าวว่า จะต้องหารือกับผู้ใหญ่หลายฝ่ายก่อนจะยกเลิกเมื่อไหร่เซิร์น ยังไม่ปล่อยอนุภาคโปรตอนเข้าชนกันในการทดลองวันแรก แต่เด็กหญิงอินเดียฆ่ากันตายไปแล้ว 1 คน เพราะกลัวโลกถูกหลุมดำดูดหายวับไปพล.อ.อนุพงษ์ พุ่งเข้าชนรองนายกฯ สมชาย ก็ยังไม่รู้ว่าจะน่ากลัวเท่าการปล่อยอนุภาคโปรตอนชนกันหรือไม่ ก็คงระทึกมาก เพราะ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ รักษาการโฆษกรัฐบาลแถลงออกมาแล้วในตอนบ่ายวันที่ พล.อ.อนุพงษ์แถลงข่าวว่ารัฐบาลจะยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ต่อเมื่อม็อบพันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาลชนกันโครมแล้วระวังหลุมดำวิจิตรา

ที่มา : http://www.banmuang.co.th/politic.asp
โดย : นางสาว อนัญญา สืบสินID. 5131601570 Section. 02

2551/09/11

ด่วน!สภาล่ม หมัก แห้วนายกฯ ชัย สั่งเลื่อนไปประชุม

ประชุมสภาเพื่อลงมติเลือก สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯรอบสองล่ม ประธานสภาฯ สั่งเลื่อนไปประชุมวันที่ 17 กันยายน ด้าน5 พรรคร่วมรัฐบาลแจ้งขอถอนตัว หากพรรคพลังประชาชนยังต้องการเสนอ สมัคร เป็นนายกฯรอบสอง

12ก.ย.)เวลา 09.40 น. มีการประชุมสภาผู้แทนราษฏร โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฏร เป็นประธานที่ประชุม นายบัญญัติ บรรทัดฐาน รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะสส.พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นเสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเสียงสนัยสนุน 144 จากผู้เข้าร่วมประชุม 145 คน จากนั้นมีผู้เสนอให้นับองค์ประชุม ผลการนับปรากฏว่า มีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 161 คน นายชัย ชิดชอบ จึงสั่งเลือ่นการประชุมไปวันที่ 17 กันยายน เวลา 09.30 นลือสะพัด!! 5 พรรคร่วมรัฐบาลแจ้งขอถอนตัว รายงานข่าวจากพรรคร่วมรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 9.00 น. แกนนำแต่ละพรรคได้โทรศัพท์แจ้งไปยังแกนนำพรรคพลังประชาชน ว่า จะไม่ขอร่วมประชุมเพื่อเลือกนายกฯในวันนี้ และถ้าพรรคพลังประชาชนยังดึงดันจะเสนอนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯต่อไป พรรคร่วมทั้งหมดก็จะถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล นายไชยา สะสมทรัพย์ รักษาการ รมว.พานิชย์ ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคชาติไทยไม่เข้าร่วมประชุมโหวตเลือกนายกฯ ว่า ไม่เข้าหรือ หากไม่เข้าก็ยุบสภา ผู้สื่อข่าวถามว่าต้องปเลี่ยนนายกฯหรือไม่ นายไชยา กล่าวว่า ก็ยุบสภา ผู้สื่อข่ายรงายงานว่า เวลา 08.45 น.ขบวนรถนายสมัคร สุนทรเวช ได้มาถึงอาคารรัฐสภาซึ่งขบวนรถได้เข้ามาวนในสภา แต่นายสมัครไม่ได้ลงและรถได้วนรถขึ้นมาจอดชั้นสองและยังไม่ลงจากรถจนถึงขณะนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 08.55 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯได้เดินทางมายังอาคารสภา โดยขึ้นทางตึกวุฒิสภา เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เห็นม็อบมาให้กำลังใจหรือไม่นายสมัครบอกว่าไม่เห็น ผู้สื่อข่าวถามว่าจะไปพบม็อบหรือไม่นายสมัครตอบว่าไม่ไป พร้อมกันนี้นายสมัครได้ทักผู้สื่อข่าวอย่างอารมณ์ดีว่า รู้ได้อย่างไรว่าตนจะมาทางตึกวุฒิ ต่อมาเวลา 09.00น.นายสมศักดิ์ ปริศนานันกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้พรรคกำลังประชุมแต่คงไม่ร่วมประชุมสภาและในการประชุมดังกล่าวพรรคกำลังหาเหตุผลในการไม่มาร่วม

ขอขอบคุณ www.sanook.com

โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล

ID : 5131601506 Section 2

สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง



อีสานพัฒนาลั่นไม่เอา สมัคร จะโหวตค้าน100 คน

อีสานพัฒนาลั่นจะมี ส.ส.พรรคพลังประชาชนร่วม 100 คนโหวตขวาง "สมัคร" นั่งนายกฯรอบ 2 พรุ่งนี้ ท้าแกนนำพรรคฯตั้งกก.สอบ "ศักดา"ยันต้องสลายแก๊งค์อ็อฟโฟร์ ด้าน"หมอเลี๊ยบ" เรียกประชุมพรรคอีกรอบค่ำนี้ "ปรีชา"ระบุงดออกเสียงแน่



ไม่เอาสมัคร


เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 11 กันยายน นายไพจิตร ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคพลังประชาชน ในฐานะแกนนำกลุ่มอีสานพัฒนาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชาชน เรียกประชุมส.ส.อีกครั้งว่า ขอยืนยันว่าส.ส.ส่วนใหญ่ในพรรคขณะนี้ซึ่งรวมตัวกันเหนียวแน่น ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบน ภาคกลางบางส่วน ประมาณเกือบ 100 คนจะรวมตัวกันเพื่อแจ้งจุดยืนของกลุ่มต่อที่ประชุมพรรคเย็นนี้ (18.00น.) ว่ากล่มจะไม่ยกมือโหวตรับนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมตรีอีกครั้งแน่นอน เพราะเห็นว่าสถานการณืขณะนี้ไม่เหมาะสมที่นายสมัครจะเป็นนายกฯ "อย่างไรก็ตามหากพรรคจะอ้างมติพรรคหรือลงโทษส.ส.ที่ยกมือสวนโหวต โดยใช้ข้อบังคับพรรคมาอ้าง เราก็จะแย้งว่าส.ส.มีเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและขอท้าแกนนำที่สันบสนุนนายสมัครให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนทางกลุ่มส.ส.ที่ไม่เห้นด้วยได้เลย" นายไพจิต กล่าว นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ใช่เฉพาะส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนา แต่ยังมีส.ส.กลุ่มอื่นที่มีแนวโน้มว่าจะไม่ยอมรับนายสมัครแต่ยังสงวนท่าทีอยู่ ซึ่งกลุ่ม ส.ส.ที่สนับสนุนายสมัครมีเพื่อกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งเป็นส.ส.กลุ่มน้อย ดังนั้นหากขู่ว่าจะลงโทษหากทางกลุ่มโหวตสวนมติพรรคในวันพรุ่งนี้ ทางกลุ่มก็จะเสนอว่ากลุ่มที่สนับสนุนนายสมัครซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยควรจะออกจากพรรคไปแทน อย่างไรก็ตามในฐานะที่ตนออกมาตรวจสอบกลุ่มแก๊งออฟโฟร์ยอมรับว่าการแสดงท่าที่ของกลุ่มอีสานพัฒนาที่ขัดแย้งกับเพื่อนเนวินมีเจตนาที่ต้องการแสดงแก๊งออฟโฟร์และบุคคลที่อยู๋ใกล้ชิดนายสมัครให้ออกไปจากพรรคเนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับพรรคและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯด้วยการแอบอ้างชื่อเพื่อหาประโยชน์ในรัฐบาล 70ส.ส.พปช. ยันโหวตไม่เอา สมัคร




อย่างไรก็ตามเมื่อเวลา 17.00 น. ส.ส.พรรคพลังประชาชนส่วนหนึ่ง ประกอบด้วย แกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา กลุ่มขุนค้อน กลุ่มโคราช ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และ กทม. ร่วมกันแถลงข่าว โดยนายไพจิตร กล่าวว่า พวกตนประมาณ 70 คน เห็นตรงกันว่าขณะนี้พรรคยังไม่มีมติที่จะเสนอชื่อนายสมัครเพื่อให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี "และกลุ่มของเราเห็นตรงกันว่านายสมัครได้ทำภาระหน้าที่มาอย่างดี แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัน แม้เราจะไม่เห็นด้วยกับมติศาลแต่ก็ต้องเคารพคำพิพากษาของศาล และยังเห็นว่าควรที่จะเสนอชื่อบุคคลอื่นเพื่อให้สภาพิจารณา เพ่อที่จะทำให้บรรยากาศในทางการเมืองดีขึ้น ซึ่งพรรคจะมีการเรียกประชุมส.ส.เพื่อขอมติ เพื่อความรอบคอบและหากยังหาข้อยุติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ได้ทางกลุ่มก็จะขอให้พรรคเสนอต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฏร์ เพื่อเลื่อนการพิจารณาเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯออกไประยะหนึ่งน่าจะเป็นผลดี" นายไพจิตร กล่าว ด้านพ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ แกนนำกลุ่มโคราชกล่าวว่า ทางกลุ่มได้หารือกันเห็นว่า ขณะนี้ปัญหาบ้านเมืองเกิดจากปัญหาสะสมและนายสมัครไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายกฯในภาวะนี้ เพราะจะเกิดความลำบากในการแก้ไข "เราจึงไม่สนับสนุนนายสมัครเพราะเกรงว่าบ้านเมืองจะเสียหายมากยิ่งขึ้น เราจะนำเรื่องนี้ไปเสนอต่อที่ประชุมพรรคเพื่อที่พรรคจะตัดสินใจอีกครั้ง ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง" พ.ต.ท.สมชาย กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามเห็นว่าบ้านเมืองขณะนี้ต้องอาศัยคนที่อ่อนน้อม ประนีประนอม นำพาบ้านเมืองไปสู่ความสงบเรียบร้อย ขณะที่นายพงษ์ศักดิ์ บุญศล ส.ส.สกลนคร กล่าวว่า วันนี้สถานการณ์การเมืองเป็นอย่างนี้ หากจะให้นายสมัครมาเป็นนายกฯต่อไปอย่างที่ส.ส.ส่วนหนึ่งเห็นด้วย เราเห็นว่าจะเกิดปัญหาในเรื่องของวิกฤติบ้านเมืองซึ่งเราเกรงว่าจะเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร เราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นแต่ต้องการให้ระบบรัฐสภา หรืออำนาจนิติบัญญัติแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ ผู้สื่อข่าวถามว่าหากที่ประชุมพรรคมีมติเสนอชื่อนายสมัครเป็นนายกฯ ทางกลุ่มจะดำเนินการอย่างไร นายไพจิตรกล่าวว่า เชื่อว่า พรรคจะมีการฟังความเห็นของสมาชิกจำนวน 70-80 คนที่ถือว่ามีความหมายที่จะทำให้พรรคเดินไปในทิศทางเดียวกัน หวังว่าจะมีการทบทวนให้เกิดความรอบคอบ เพราะมีสมาชิกที่เห็นต่าง ตนเชื่อว่าจะมีข้อยุติได้ และหากพรุ่งนี้(12กย)ยังไม่มีมติของพรรคก็ถือว่าพรรคจะให้โหวตตามอัธยาศัย หรือฟรีโหวต แต่ถ้าพรรคจะมีมติเราก็คงจะได้อภิปรายอย่างตรงไปตรงมาเพื่อหาข้อยุติที่ตรงกัน ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกลุ่มจะโหวตสวนใช่หรือไม่ นายไพจิตรกล่าวว่า คำว่าเป็นเอกสิทธ์ก็คือส่วนใหญ่จะโหวตไปอีกทางหนึ่ง บางส่วนที่เกรงใจก็อาจจะงดออกเสียง หรือส่วนที่เกรงใจมากๆก้อาจจะโหวตตาม ในชั้นนี้ไม่ได้ลงในรายละเอียด อย่างไรก็ตามทางกลุ่มยังไม่มีชื่อบุคคลที่จะเสนอแทนนายสมัคร แต่เห็นว่ายังมีคนที่เหมาะสมอยู่พอที่จะทำงานประคับประคองพรรคได้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงจุดยืน 6 พรรคร่วมรัฐบาล และแกนนำบางส่วนแยกไปคุยกับนายสมัครที่บ้านพัก ปรากฎว่าเมื่อเวลา 18.00 น.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ได้เรียกประชุมส.ส.ด่วนเพื่อหาข้อสรุปบุคคลขึ้นมาเป็นนายกฯ "ปรีชา"ระบุงดโหวตให้"สมัคร"นั่งนายกฯ นายปรีดา เร่งสมบูรณ์สุข สส.พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ตนอยู่ในกลุ่มที่ไม่เอานายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯรอบ 2 เพราะมองแล้วว่าบ้านเมืองบอบช้ำมานานแล้ว นายสมัครเป็นนายกฯมา 7 เดือน นโยบายต่าง ๆที่แถลงต่อประชาชนไม่เด่นชัดเลย ตนก็ท้วงติงในที่ประชุมพรรคมาตลอด การจัดระเบียบของพรรคก็ไม่มีเลย และหัวหน้าพรรคก็ไม่ให้สมาชิกได้แสดงความเห็น "เราจะต้องมาดูทิศทางการเมืองด้วย เพราะทิศทางตอนนี้เป็นสุญญากาศ ต้องดูกระแสสังคมเอาอย่างไร และทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบ จะหาแนวทางอย่างไรให้สันติ ส่วนใครจะเป็นตัวแทนมาแทนนายสมัครซึ่งก็ได้คุยตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ยังไม่ได้ข้อสรุป และมีการประชุมอีกในช่วงเช้า เพื่อหาทิศทางของพรรค และมีการถกเถียงกัน กลุ่มหนึ่งจะเอานายสมัคร แต่อีกฝ่ายไม่เอา ก็ตั้งตัวแทน 3 ฝ่าย ให้ไปบอกนายสมัครว่าพรรคร่วมบางพรรคไม่เห็นด้วยที่จะให้นายสมัคร กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง" นายปรีชา กล่าวและว่า ตนทราบว่านายสมัครเสนอตัวที่จะมาเป็นนายกฯอีกครั้ง ซึ่งพรรคร่วมบางพรรคก็ไม่เห็นด้วย และประชาชนก็ไม่เอา อยากจะให้มีคนกลางเข้ามา กลุ่มที่ไม่เอานายสมัครนอกจากกลุ่มอีสานพัฒนาแล้ว ยังมีทั้งกลุ่มทางเหนือ กรุงเทพฯ และภาคกลางบางส่วน "สำหรับวันพรุ่งนี้ เรามองประเทศชาติเป็นหลัก หาก พปช.เสนอ นายสมัคร ผมก็จะงดออกเสียง เพื่อไม่ให้เสียงถึงกึ่งหนึ่ง ก็อยากจะให้มาทบทวนอีกที" นายปรีชา กล่าว ขณะที่ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวว่าก ารแสดงท่าทีอย่างนี้แสดงว่ามีปัญหาก็จะต้องมาคุยกันในเย็นวันนี้ ตอนนี้ต่างคนต่างพูด ยังไม่ลงตัว ประชุมเย็นวันนี้ เพื่อพิจารณารายชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะเสนอให้พรรคร่วมได้พิจารณา





ขอขอบคุณ

โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล ID : 5131601506
Section 2 สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

อัยการปิดคดีฝังกลบทักษิณ

อัยการปิดคดีฝังกลบทักษิณ
วันที่ 10 ก.ย. นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานอัยการรับผิดชอบคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำหนดให้โจทก์-จำเลยยื่นแถลงปิดคดีภายในวันที่ 10 ก.ย.ว่า ในส่วนของอัยการฝ่ายโจทก์นั้นได้ยื่นคำแถลงปิดคดีต่อศาลแล้วเมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยคำแถลงปิดคดีมีความยาวกว่า 10 หน้า ซึ่งเนื้อหาเป็นการประมวลข้อเท็จจริงที่เป็นพฤติการณ์การกระทำผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ภริยา จำเลยทั้งสอง ตามคำฟ้องที่นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง และคำเบิกพยานโจทก์ ประกอบกับข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นมาให้ศาลเห็นว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ. ด้วยการป้องกันและการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 อย่างไรบ้าง ซึ่งคำแถลงปิดคดีอัยการยืนยันที่จะให้ศาลพิพากษาสั่งริบที่ดินและเงินซื้อขายที่ดินมูลค่า 772 ล้านบาทเศษ ด้วยตามคำขอท้ายฟ้อง อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้คู่ความจะต้องรอวันฟังคำพิพากษา ที่ศาลฎีกาฯ กำหนดนัดไว้ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น. ซึ่งหากวันดังกล่าวจำเลยทั้งสองไม่มาฟังคำพิพากษา ก็ต้องรอฟังคำสั่งศาลว่าจะให้ออกหมายจับตัวมาฟังคำพิพากษา หรือจะอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยทันที เพราะเวลานี้ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน อยู่ที่ประเทศอังกฤษ และจะไม่เดินทางกลับมา ด้าน นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ หนึ่งในทีมทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กล่าวว่า หลังจากที่ทั้งสองประสงค์ที่จะถอนตนและทนายความอีก 5 คน จากการเป็นทนายความรับผิดชอบคดีนี้แล้วตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ตนและทีมทนายความ ก็ไม่ได้รับมอบหมายจากทั้งสองที่จะให้ยื่นคำแถลงปิดคดีแต่อย่างใด ซึ่งก่อนหน้านี้ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทั้งสองได้ยื่นคำให้การไว้แล้ว และเมื่อยื่นฟ้องคดีในชั้นสอบคำให้การจำเลย ทั้งสองก็ยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลไว้เช่นกัน ดังนั้น การไม่ยื่นคำแถลงปิดคดีจึงไม่ส่งผลต่อรูปคดีที่จะทำให้จำเลยเสียเปรียบ หรือเสียโอกาสในการสู้คดี เพราะที่ผ่านมาฝ่ายจำเลยได้นำสืบพยานครบถ้วน และซักค้านพยานโจทก์เต็มที่แล้ว

ที่มา : http://www.banmuang.co.th/politic.asp?id=150897
โดย : นางสาว อนัญญา สืบสิน
ID. 5131601570 Section. 02

2551/09/10

3ส.ตัวเต็งตำแหน่งนายกฯใหม่ เทียบเชิญ บรรหาร ร่วมรัฐบาล

3ส.พรรคพลังประชาชนเข้าพบ บรรหาร เพื่อเทียบเชิญเข้ารัฐบาล เติ้ง อ้ำอึ้งหนุน สมัคร หรือไม่ขอหารือก่อน ระบุ สเป็คนายกฯต้องเป็นคนอะลุ้มอะลวย (10ก.ย.) เวลา 11.00 น. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชา ชน และนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เดินทางมาถึงพรรคชาติไทยเพื่อเทียบเชิญขอให้พรรคชาติไทยเข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้ง พร้อมทั้งจะได้หารือถึงนายกฯคนใหม่ นายสมชาย ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าหารือว่า ขอไปคุยกับหัวหน้าพรรคชาติไทยก่อน ซึ่งพรรคพลังประชาชน ได้ตั้งตน 3 คนมาพูดคุยกับพรรคชาติไทย ซึ่งจุดมุ่งหมายก็เป็นที่ทราบกันอยู่เพราะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเหมือนกัน และที่มาวันนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาล เมื่อถามว่า ที่มาหารือวันนี้เพื่อขอให้นายบรรหารสนับสนุนนายสมัครนั่งนายกฯหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ยังไม่ได้คุย ไว้คุยแล้วจะมาบอก เมื่อถามกรณีที่กลุ่มอีสานพัฒนาออกมาบอกว่าที่พรรคมีมติหนุนนายสมัครนั้นไม่ใช่มติพรรค นายสมชาย กล่าวว่า ยังไม่มีการหารือกับลูกพรรคพลังประชาชนเพราะพึ่งกลับมาจากจังหวัดอุดรธานี ก่อนหน้านั้น เวลา 10.30 น. นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคพลังประชาชนจะมาทาบทามเข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้งว่า ยังไม่รู้ ต้องหารือก่อน ซึ่งต้องรอดูว่าพรรคพลังประชาชนจะว่าอย่างไร เมื่อถามว่าการประชุมเลือกนายกฯวันศุกร์ที่ 12 ก.ย.ถือว่าเร็วไปหรือไม่ นายบรรหาร กล่าวว่า ต้องไปถามประธานสภาฯตนตอบแทนไม่ได้ เมื่อไม่มีรัฐบาลและถ้าสามารถทำได้เร็ว โดยที่ไม่ผิดขั้นตอน กติกาก็น่าทำได้ เพราะจะกลายเป็นสุญญากาศและรัฐมนตรีที่ทำงานอยู่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเป็นแค่รักษาการณ์ ถ้าทำได้ไม่ผิดก็ไม่น่ามีปัญหา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประธานสภาฯ อย่างไรก็ตามการเลือกนายกฯคนใหม่ในขณะนี้ยังไม่มีการหารือกันในพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงพรรคชาติไทย ซึ่งพรรคจะมีการหารือในวันที่ 11 ก.ย.นี้ ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายสมัครกลับมาเป็นนายกฯพรรคชาติไทยจะรู้สึกอย่างไร นายบรรหาร กล่าวว่า รอให้ถึงตอนนั้นค่อยว่าอีกที เมื่อถามย้ำว่า ในสถานการณ์แบบนี้สเป็คนายกฯคนใหม่ควรเป็นอย่างไร นายบรรหาร กล่าวว่า ต้องเป็นคนที่รอมชอมได้ ถ้อยที่ถ้อยอาศัย ต้องมีตรงนี้เพราะบ้านเมืองวุ่นวายมามากแล้ว เมื่อถามย้ำว่า ควรเปลี่ยนนายกฯเป็นคนใหม่หรือไม่เพราะคนเก่าแข็งเกิน นายบรรหาร กล่าวว่า ขอคุยกับพรรคพลังประชาชนก่อน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์และชูให้นายบรรหารเป็นนายกฯ นายบรรหาร กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ ตนพูดตั้งแต่เริ่มจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เสียง 220 กว่าเสียงจะจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างไร พระเจ้าให้เสียงมาแค่นี้ รอให้พรรคชาติไทยได้เสียง 250 เสียงก่อน ทุกอย่างมันเดสล๊อกทำอะไรไม่ได้


ขอขอบคุณ www.thairat.com
โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล ID : 5131601506
Section 2
สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

2551/09/09

สมัคร หลุดตำแหน่ง นายกฯ มติศาลรธน.9-0ขาดคุณสมบัติ

ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดคุณสมบัติ สมัคร จัดรายการ ชิมไปบ่นไป- ยกโขยง 6 โมงเช้า ขัดรัฐธรรมนูญ หลุดเก้าอี้หลุดนายกฯ ด้วยมติเอกฉันท์ 9-0
นายสมัคร สุนทรเวชเมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 9 กันยายน นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.และคณะรวม 29 คนและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในการรับจัดรายการ "ชิมไป บ่นไป" และรายการ "ยกโขยง 6 โมงเช้า" เป็นนัดสุดท้าย หลังจากได้นัดไต่สวนนายสมัคร และนายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล กรรมการบริหารบริษัท เฟซ มีเดีย ผู้ผลิตรายการชิมไปบ่นไป และยกโขยง 6 โมงเช้า เป็นนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า การจัดรายการ "ชิมไป บ่นไป" และรายการ "ยกโขยง 6 โมงเช้า" ของนายสมัครนั้น มุ่งประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ถือได้ว่าขัดรัฐธรรนูญ ส่งผลให้ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยมติเอกฉันท์ 9-0

ขอขอบคุณ www.sanook.com
โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล
ID : 5131601506 Section 2
สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ป๋า' วอนเหล่าทัพดูแลบ้านเมือง



เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 8 ก.ย. ที่ท่าอากาศยานทหารกองบิน 6 พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. ให้สัมภาษณ์ ถึงการพบปะหารือถึงสถานการณ์การเมืองกับ ผบ.เหล่าทัพ การพบปะกันของ ผบ.เหล่าทัพ ไม่มีนัยทางการเมือง แต่ทหารจะต้องปกครองดูแล และเป็นหนทางปฏิบัติจึงต้องมีการประชุม ไม่ได้บ่งบอกอะไร ทหารพยายามที่จะเป็นแกนกลาง และไม่เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ส่วนทิศทางทางการเมืองต้องให้การเมืองแก้ไข และต้องรีบแก้ไขด้วย ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะเสียหาย เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่ที่นักศึกษา 80 สถาบันออกมาเคลื่อนไหวขับไล่นายกรัฐมนตรีให้ลาออกจากตำแหน่ง พล.อ.อ.ชลิตตอบว่า เป็นห่วง เมื่อถามว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ แสดงความเป็นห่วงสถานบ้านเมืองหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต ตอบว่า ท่านเป็นห่วง และท่านบอกให้ช่วยกันดูแล เมื่อถามว่า จุดยืนของทหารยังอยู่เคียงข้างประชาชนหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า แน่นอน แน่นอน
เมื่อถามถึงความเหมาะสมที่ให้นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นคนกลางในการเจรจาปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรฯ พล.อ.อ.ชลิตตอบว่า ไม่ทราบ แต่ต้องเป็นคนที่ทั้งสองฝ่ายให้การยอมรับ ไม่จำเป็นต้องเป็นทหาร ใครก็ได้ที่ทั้งสองฝ่ายเชื่อถือ และยอมรับในข้อเสนอแนะ ที่สำคัญ ต้องมีจิตใจมุ่งมั่นแก้ปัญหา หากเป็นการพูดคุยมีจุดยืน คือ ไม่ยอมรับกันและกัน การเจรจาก็ทำอะไรไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายต้องไม่มุ่งมั่น แต่ผลประโยชน์ตัวเอง การถอยกันคนละก้าวทบทวนสิ่งที่เป็นผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ หากต่างฝ่ายต่างยืนยันในสิ่งที่ตัวเองมุ่งมั่นจะไปต่อไม่ออก
เมื่อถามว่า ผบ.เหล่าทัพ จะบอกให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจะยุติปัญหาความขัดแย้งหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิตตอบว่า คงมีหลายท่านหรือคนอื่นที่ทำมากกว่า ไม่ใช่ทหาร เมื่อถามว่า ถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีควรลาออกหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิตตอบว่า ไม่ทราบ เมื่อถามว่า การที่แต่ละฝ่ายมองว่า หากยอมจะเป็นฝ่ายแพ้เราควรจะเสียสละส่วนตัวหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิตตอบว่า คงจะ คล้ายๆอย่างนั้น
ทางด้าน พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า ในฐานะคนไทยรู้สึกเป็นห่วงเพราะเหตุการณ์ ยืดเยื้อ ไม่จบ ทำให้เรื่องราวต่างๆ ภารกิจต่างๆ สภาพเศรษฐกิจ ไม่ค่อยดีนัก แต่ในเรื่องของผู้รับผิดชอบดูแล คงต้องค่อยๆแก้ไขกันไปโดยสันติวิธี และใช้วิธีการที่นิ่มนวล ส่วนทางออกในการแก้ไขปัญหา ตนเห็นว่าหลายๆ ท่านยังมองไม่เห็นว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร อยู่ที่ตัวที่เกี่ยวข้องกับปัญหาจริงๆ ที่จะต้องตัดสินใจ ขณะนี้การเจรจาถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุดแล้ว เพราะให้ต่างคนต่างฝ่ายได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น แต่การเจรจาต้องเจอกับเงื่อนไขต่างๆ ทั้งนี้คงต้องให้เวลาในการเจรจา คิดว่าเมื่อถึงเวลาคงมีเหตุการณ์อื่นที่มาช่วยให้การเจรจาหาข้อยุติได้เองเมื่อถามว่า การยุบสภา หรือลาออก เป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุปัญหาหรือไม่ เพราะในที่สุดความขัดแย้งยังมีอยู่ พล.อ.วินัยตอบว่าต้องไปถามเงื่อนไขของคู่กรณี เมื่อถามว่า แนวคิดตั้งรัฐบาลแห่งชาติในการแก้ปัญหา พล.อ.วินัยตอบว่าถ้าเป็นไปได้ก็ดี หากเป็นสิ่งที่ลดหรือขจัดความขัดแย้งทั้งหลายทั้งมวลที่มีอยู่ในขณะนี้ แต่ ไม่ทราบว่า จะเป็นแนวทางที่ขจัดข้อขัดแย้งได้หรือไม่ เมื่อถามว่า ถึงเวลาหรือยังที่จะยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ พล.อ.วินัยตอบว่าไม่ทราบ รัฐบาลเป็นคนประกาศ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาล

โดย : นางสาว อนัญญา สืบสิน
ID. 5131601570 Section. 02

2551/09/08

ศาล รธน.ชี้ชะตา สมัคร วันนี้!! ชิมไปบ่นไปขาดคุณสมบัติ?




ศาล รธน.ชี้ขาดคุณสมบัติ สมัคร จัดชิมไป บ่นไป วันนี้ หากผิดเก้าอี้หลุดทันที ครม.กระเด็นด้วย เจ้าตัวท้าสาบานกลางศาลไม่เคยรับค่าตอบแทน หากทำจริงขอให้บรรลัยวายวอด ประกาศไม่ยุบ-ไม่ออก อยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตย สะพัด เติ้ง ชงสูตร 3-2-1 รอเสียบนายกฯ ส้มหล่น ด้านพันธมิตรลั่นนายกฯคนใหม่ต้องไม่ใช่ขั้วรัฐบาลเดิม
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 8 กันยายน นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี ในการรับจัดรายการ ชิมไป บ่นไป และรายการ ยกโขยง 6 โมงเช้า เป็นนัดสุดท้าย โดยนัดไต่สวน นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล กรรมการบริหารบริษัท เฟซ มีเดีย ผู้ผลิตรายการชิมไปบ่นไป และยกโขยง 6 โมงเช้า ทั้งนี้ นายสมัครเดินทางมาให้การด้วยตัวเอง ตั้งแต่เวลา 09.00 น. โดยก่อนเข้าให้การ นายสมัครปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ ต่อสื่อมวลชน แต่มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ด้านผู้ร้องที่ 1 ที่เดินทางมาศาล ได้แก่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และคณะ ส.ว.ที่เข้าชื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นที่น่าสังเกตว่ามี นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มานั่งอยู่บริเวณที่นั่งของผู้ร้องที่ 1 ด้วย ขณะที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้แก่ พ.อ.สันธิรัตน์ มหัทธนชาติ เลขาฯ อนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว เป็นตัวแทน ส่วนฝ่ายผู้ถูกร้องมีนายธนา เบญจาธิกุล ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายสมัคร เป็นผู้ไต่สวนพยาน ทั้งนี้นายธนาได้ซักถามนายสมัครถึงค่าตอบแทนในการทำรายการว่ามีการเรียกร้องหรือไม่ และมีการให้สัมภาษณ์ลงหนังสือในช่วงหนึ่งว่า ได้รับเงินเดือน 1 แสนบาท เป็นค่ารับรอง จริงๆ แล้วเงินส่วนนั้นรับเป็นลักษณะเงินเดือนหรือไม่ ซึ่งนายสมัครชี้แจงว่า เริ่มทำรายการตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. และไม่เคยมีการเรียกร้องค่าตอบแทน แต่จะได้เป็นค่าน้ำมันรถ และค่าจ่ายกับข้าว นอกจากนี้ไม่เคยมีเงินเดือน เพราะไม่ได้ทำติดต่อกันตลอด จะได้รายได้ก็ต่อเมื่อทำรายการเท่านั้น หรือนับเป็นครั้งๆ ไป โดยช่วงหนึ่งที่เป็นผู้ว่าฯ กทม.มีการตำหนิถึงเรื่องดังกล่าวก็หยุดดำเนินการไป บริษัทก็เอาเทปเก่ามาออกอากาศและก็ไม่ให้เงิน และการทำรายการเป็นการบันทึกเทป โดยเดือนหนึ่งบันทึก 4 ครั้ง สามารถออกอากาศได้ 4 ตอนใช้ได้ 1 เดือน รวมทั้งไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องการขอโฆษณาในรายการแต่อย่างใด ฉุนถูกซักเรื่องล้มคิ้วแตก-เงินภาษี ต่อมานายเรืองไกร ในฐานะผู้ร้อง ได้ซักถามนายสมัครว่า ในวาระครบรอบรายการชิมไปบ่นไป 7 ปี นายกฯ ไปทำรายการในฐานะพิธีกร ชื่อว่าข้าวผัดพันธมิตร ถูกต้องหรือไม่ นายสมัครตอบกลับทันทีว่า ไม่ถูกต้อง เพราะเขาเชิญสปอนเซอร์ทั้งหลายไปทำข้าวผัด แล้วให้ตนไปเป็นคนชิมว่าของใครอร่อย แต่ตนไม่ได้ทำ นอกจากนี้ นายเรืองไกรยังซักถามนายสมัครเกี่ยวกับการทำรายการยกโขยง 6 โมงเช้า ที่ จ.สิงห์บุรี ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่นายสมัครหกล้มคิ้วซ้ายแตก ปรากฏว่านายสมัครเกิดอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด โดยตอบกลับอย่างมีอารมณ์ว่า “แล้วมันเป็นยังไง คิ้วแตกเขาก็เป็นข่าว รู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วมันเป็นยังไง” ระหว่างนายเรืองไกรพยายามสอบถามนายสมัครเกี่ยวกับการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตอนที่ยังไม่ได้เป็นนายกฯ ร้อยละ 5 ครั้งละประมาณ 1 แสนบาท ซึ่งนายเรืองไกรตั้งข้อสังเกตว่า รายการหักภาษีของนายกฯ อยู่ในระดับสูงมากกว่าคนอื่น เพราะนายสมัครมีความสำคัญต่อการทำรายการของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด หรือไม่ ส่งผลให้นายสมัครกล่าวอย่างมีอารมณ์อีกครั้งว่า “จะถามผมแบบนี้มันเกิดเหตุมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องภาษีพวกนี้ ตอนที่ผมเป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ แล้วมันมีไหม ก่อนหน้านั้นมันเกี่ยวอะไรกับผม ผมไม่ต้องมีสถานะให้ต้องพิจารณา ผมจะไปทำอะไรและจะไปได้อะไรขนาดไหน ไม่ได้เกี่ยวข้อง คุณต้องพิสูจน์สิว่า หลังจากวันที่ 6 กุมภาพันธ์แล้ว ผมยังไปมีรายได้มากมายหรือไม่” ท้าสาบานให้บรรลัยถ้ารับค่าตอบแทน จากนั้นตัวแทนจาก กกต.ในฐานะผู้ร้องที่ 2 ถามนายสมัคร ว่า ทั้ง 2 รายการที่ทำมาเคยเรียกร้องค่าตอบแทนในฐานะที่ทำรายการหรือไม่ นายสมัครตอบว่า ไม่มี “ผมยืนยันและสาบานไว้ตรงนี้ด้วยว่า ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย ถ้าผมไปเรียกร้องอะไรเขาล่ะก็ ขออย่าให้ผมมีความเจริญ ขอให้บรรลัยวายวอดไปก็แล้วกัน แต่หากผมไม่ได้ทำอย่างนั้น ต้องให้ผมมีความเจริญรุ่งเรือง” นายสมัครกล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นศาลได้ไต่สวนนายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล โดยนายศักดิ์ชัยให้การยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักนายสมัครเป็นการส่วนตัวก่อนหน้าที่จะมีการติดต่อให้เป็นพิธีกรรายการ ซึ่งเริ่มดำเนินรายการในปี 2543 และนายสมัครก็ไม่เคยไปที่บริษัท หรือรู้ที่อยู่ของบริษัท เพราะการอัดรายการจะใช้สตูดิโอเป็นที่จัด การให้ค่าตอบแทนจะคิดในอัตราในลักษณะนักแสดงและพิธีกรรับจ้างทั่วไป จนกระทั่งเมื่อนายสมัครดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ก็ยุติไปช่วงหนึ่ง และนำเทปรายการเก่ามาตัดต่อ ก็สามารถออกอากาศไปได้ประมาณ 7-8 เดือน นายศักดิ์ชัยกล่าวต่อว่า กระทั่งช่วงใกล้จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ได้ทำหนังสือวันที่ 15 ธันวาคม 2550 สอบถามนายสมัครว่า จะทำหน้าที่พิธีกรต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งนายสมัครทำหนังสือตอบกลับมาว่า ได้ให้ฝ่ายกฎหมายดูแล้ว สามารถทำได้ เพราะเป็นในลักษณะรับจ้าง ไม่ใช่ลูกจ้างตามที่รัฐธรรมนูญห้ามไว้ แต่จะไม่รับค่าตอบแทนใดๆ ซึ่งบริษัทก็ได้จ่ายเป็นค่าน้ำมันให้แก่คนขับรถของนายสมัคร โดยคิดค่ารถเป็นกิโลเมตร หารเฉลี่ยค่าน้ำมันไปกลับ และบวกเพิ่มอีก 10-15% รวมทั้งค่ากับข้าว อย่างไรก็ตาม ไม่เคยสอบถามคนขับรถของนายสมัครว่านำเงินไปให้นายสมัคร หรือไปใช้จ่ายอะไรหรือไม่ จนกระทั่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ นายสมัครจึงบอกยกเลิกการเป็นพิธีกร นายศักดิ์ชัยยังให้การถึงการหาสปอนเซอร์โฆษณารายการว่า ไม่ได้เป็นการนำฐานะนายกรัฐมนตรีไปหาโฆษณา แต่สัญลักษณ์ของรายการที่เป็นรูปการ์ตูนพ่อครัวจมูกชมพู่ เป็นการแสดงถึงตัวตนของนายสมัครในทางส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ส่วนที่ระบุในเอกสารในการหาโฆษณาที่ระบุว่าพิธีกรเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เพื่อให้เกียรติ ไม่ได้หวังว่าจะใช้ฐานะนายกรัฐมนตรีมาหาโฆษณา ศาลรธน.นัดชี้ขาด 9 ก.ย.บ่ายสอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังทนายฝ่ายผู้ถูกร้อง และผู้ถูกร้องได้ซักค้านพยานแล้ว คณะตุลาการได้สอบถามในหลายประเด็น เช่น ใครเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายค่าลิขสิทธิ์รายการ สัญลักษณ์ของรายการที่เป็นรูปพ่อครัวจมูกชมพู่ รวมทั้งข้อเท็จจริงในการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่นายสมัคร เนื่องจากในเอกสารตอบกลับรับทำรายการของนายสมัครระบุว่า “จะทำรายการให้โดยจะไม่รับค่าน้ำมันอย่างที่เคย” หมายความว่าก่อนหน้านี้เคยจ่ายค่าน้ำมันให้หรือไม่ โดยนายศักดิ์ชัยยืนยันว่า ก่อนหน้าที่นายสมัครจะเป็นนายกฯ ได้จ่ายค่าเป็นพิธีกรในรูปแบบของนักแสดงหรือพิธีกรรับจ้างเท่านั้น ไม่เคยให้เป็นค่าน้ำมัน ซึ่งการระบุในเอกสารของนายสมัครน่าจะเป็นความเข้าใจผิด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะตุลาการได้ใช้เวลาสืบพยานทั้ง 2 ปากเป็นเวลา 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นคณะตุลาการได้ประชุมเพื่อกำหนดนัดอ่านคำวินิจฉัย โดยศาลนัดคู่ความฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 9 กันยายน เวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในวันอังคารที่ 9 กันยายน ว่านายสมัครมีคำผิดตามคำฟ้องจริง จะส่งผลให้นายสมัครจะต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในทันที ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7) แต่ความเป็น ส.ส.ยังคงอยู่ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีก็จะต้องสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีไปทั้งคณะ อย่างไรก็ตาม นายสมัครสามารถจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้เหมือนเดิม หากสภาผู้แทนราษฎรเสนอชื่อให้กลับมาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง สมัคร อารมณ์ดีบอก แล้วแต่ศาล เมื่อเวลา 16.10 น. หลังเสร็จภารกิจจากการเป็นประธานการประชุมอาเซียนเลกเชอร์ 2008 ที่กระทรวงการต่างประเทศ แล้ว นายสมัครปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าว กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีในวันที่ 9 กันยายนนี้ โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “แล้วแต่ศาล” จากนั้นก็เดินทางออกจากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อไปขึ้นเครื่องบินเดินทางไป จ.อุดรธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างร่วมงานที่กระทรวงการต่างประเทศนั้น นายสมัครยังคงอารมณ์ดีและร่วมร้องเพลงไทยเดิมให้คณะทูตและผู้ร่วมงานได้ฟังด้วย โดยเพลงดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ครม.ฝุ่นตลบ- เติ้ง ต่อสาย แม้ว ขณะที่กระแสข่าวศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตานายสมัครได้แพร่สะพัดออกไป ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างคึกคักในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะกระแสการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ล่าสุดมีรายงานข่าวจากพรรคพลังประชาชนว่า แกนนำในพรรคพลังประชาชน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรค นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นต้น ได้ร่วมประเมินการตัดสินคดีดังกล่าวของนายสมัคร โดยเห็นพ้องกันว่าแนวโน้มจะถูกตัดสินว่ามีความผิดสูง ซึ่งจะมีผลทำให้ต้องออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึง ครม.ที่จะต้องสิ้นสถานภาพไปพร้อมกันด้วย มีรายงานว่าแกนนำพรรคพลังประชาชนได้ประสานไปยังพรรคร่วมรัฐบาลให้เสนอชื่อนายสมัครกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง แต่ถูกแย้งกลับมาว่า หากนายกฯ ยังเป็นนายสมัครอยู่ อาจทำให้ปัญหาบานปลายหนักขึ้นไปอีก พร้อมกับเสนอว่าควรใช้รูปแบบรัฐบาลแห่งชาติ โดยให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมรัฐบาลด้วย เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเมืองเฉพาะหน้า ด้านแหล่งข่าวจากพรรคชาติไทยยืนยันว่า เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานายบรรหารได้โทรศัพท์ไปหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อประเมินสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น โดยนายบรรหารได้หารือและปรึกษาว่า พรรคร่วมรัฐบาลเกือบทั้งหมดจะถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล แต่ พ.ต.ท.ทักษิณขอร้องให้นายบรรหารเป็นตัวประสาน พร้อมยืนยันว่า หากนายสมัครลาออกจากตำแหน่งนายกฯ หรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจะเสนอชื่อนายบรรหารเป็นนายกฯ แทน "แต่พวกเรา (พรรคชาติไทย) ประเมินกันว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเสนอชื่อนายบรรหาร อาจจะเป็นเพียงแค่การซื้อเวลาเท่านั้น เพราะเท่าที่มีการเช็กข่าวก็พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ทาบทาม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มาเป็นนายกฯ แทนนายสมัครเช่นเดียวกัน ซึ่งนายบรรหารก็ไม่ได้ไว้ใจ พ.ต.ท.ทักษิณในเรื่องนี้ ถึงได้เสนอทางออกให้มีการยุบสภาแทน พร้อมเสนอไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณให้มีการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดยให้นายบรรหารขึ้นมาเป็นนายกฯ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์บ้านเมือง" แหล่งข่าวคนเดียวกันกล่าว อย่างไรก็ดี ถึงนาทีนี้มีความเป็นไปได้สูงที่พรรคร่วมทั้งหมดจะเห็นพ้องเสนอชื่อนายบรรหารเป็นนายกฯ คนใหม่ เพราะเชื่อว่าจะเป็นทางเดียวที่ทำให้พันธมิตรล่าถอยออกจากทำเนียบรัฐบาลได้ โดยที่ขั้วการเมืองยังไม่เปลี่ยนแปลง รายงานข่าวแจ้งว่า มีความเป็นไปได้ที่นายสมัครจะตัดสินใจยุบสภา หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองกดดันหนัก โดยนายสมัครจะบอกต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเช้าวันอังคารที่ 9 กันยายนนี้ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ชงสูตร 3-2-1 บรรหาร เสียบนายกฯ รายงานข่าวจากพรรคชาติไทยเปิดเผยว่า แกนนำพรรคชาติไทยได้รับการติดต่อจากพรรคพลังประชาชนว่า หากนายสมัครถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ และเป็นเหตุให้ ครม.ต้องหลุดทั้งคณะ พรรคพลังประชาชนเตรียมสนับสนุน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งแกนนำพรรคและนายบรรหารรับทราบเงื่อนไขของพรรคพลังประชาชนแล้ว โดยให้ความเห็นว่า แม้ว่าพรรคชาติไทยจะยังคงสนับสนุนให้คนของพรรคพลังประชาชนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ปัญหาก็ไม่ยุติ เพราะกลุ่มพันธมิตรได้ยื่นเงื่อนไขว่าจะไม่เอานายกฯ จากพรรคพลังประชานชน ดังนั้นพรรคชาติไทยจึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและลดแรงต้านจากสังคมได้ระดับหนึ่ง แกนนำพรรคจึงเสนอเงื่อนไขให้นายบรรหารเป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้ใช้สูตร 3-2-1 (บรรหาร-สมชาย-สุรพงษ์) แทนที่จะใช้สูตร 1-2-3 (สุรพงษ์-สมชาย-บรรหาร) ซึ่งพรรคชาติไทยแสดงความพร้อมที่จะให้นายบรรหารขึ้นเป็นนายกฯ โดยมอบหมาย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค เดินสายทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อประคองสถานการณ์ไปจนกว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 จะผ่านชั้นวุฒิสภา จากนั้นจึงจะมีการยุบสภา สมัคร ปราศรัยอุดรฯไม่ยุบ-ไม่ออก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.45 น. นายสมัครได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่สวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี ระบุว่า การเดินทางมา จ.อุดรธานี เพื่อมารายงานให้ทราบว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำความผิด ไม่ได้ทำความสกปรก และขอท้าทายให้ตรวจสอบได้ เราทำงานมา 7 เดือน รัฐบาลชุดนี้เข้ามาทำงาน ต่างประเทศก็หันหน้าเข้ามาคบค้า และจากการที่ได้พบทูตต่างๆ ก็บอกว่ารับไม่ได้ถ้ามีการปฏิวัติ นี่คือเหตุผลว่าทำไมตนต้องอยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตย บ้านเมืองนี้บริหารมาดีๆ แต่กลับมีคน 5 คน มาปลุกระดมให้ชิงชังรัฐบาลโดยไม่มีเหตุผล ตนรับไม่ได้ นายสมัครกล่าวต่อว่า ตนทำงานการเมืองมีความสุจริตเป็นที่ตั้ง และวันนี้ที่ทหารไม่ปฏิวัติ เพราะส่วนหนึ่งตนสามารถทำงานร่วมกับทหารได้ การโยกย้ายที่ผ่านมาทหารทุกคนก็พอใจ แสดงว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้ยุ่มย่ามกิจการทหาร อยู่เป็นเพื่อนเขา สนองงานเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน และทำงานรวมกับทางราชการได้ ทั้งที่มีคนยึดทำเนียบรัฐบาล เราต้องอดกลั้น สังคมนี้มันประหลาดทั้งที่มีคนยึดทำเนียบ นายกฯ กล่าวว่า วันอังคารที่ 9 กันยายนนี้ จะประชุม ครม.ตามปกติ และกำลังจะเจรจากับนายบรรหาร เพื่อจะไปประชุม ครม.สัญจรครั้งต่อไปที่ จ.สุพรรณบุรี เพราะตนตั้งใจจะไปพูดกับประชาชน และขอให้ประชาชนรักษาความสงบ ไม่ทำอย่างที่คนอื่นทำ ขอให้อยู่เฉยๆ และรักษาบ้านเมืองไว้ เมื่อไรที่มีอะไรที่ไม่เหตุผล ก็ค่อยโผล่ออกมา วันนี้จะมีการปลุกระดม ขอให้ทุกคนอยู่ในที่ตั้ง "ผมยืนยัน จะไม่ยุบสภา ไม่ลาออก และจะทำตามที่ชาวอุดรบอกว่า สู้ๆ" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื้อหาการปราศรัยของนายกฯ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ส่วนใหญ่จะเป็นการโจมตีกลุ่มพันธมิตรที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาล เลี้ยบ ปัดข่าวเตรียมนายกฯสำรอง ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ที่ จ.อุดรธานี ยืนยันว่า พรรคไม่ได้เตรียมการอะไรเป็นพิเศษในการรอฟังผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งปฎิเสธข่าวที่ว่าพรรคเตรียมคนสำรองไว้เป็นนายกฯ แทนนายสมัคร โดยยืนยันว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้จะต้องรอฟังคำพิพากษาก่อน จึงจะมีการพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป ต่อข้อถามว่า แนวโน้มที่จะให้นายสมัครเลือก คือยุบสภาและลาออกใช่หรือไม่ นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ไม่ใช่ เราอยากเห็นทางออกของบ้านเมือง เป็นไปในทิศทางที่ทุกคนเชื่อมั่น ตามวิถีทางประชาธิปไตย พปช.แฉขบวนการดันนายกฯคนกลาง นายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ให้สัมภาษณ์ว่าขณะนี้มีข่าวเชิงลึกว่ามีขบวนการเคลื่อนไหวนำคนที่ไม่ได้เป็น ส.ส.เข้ามาเป็นนายกฯ คนกลาง และมีการบีบให้นายสมัครลาออกหรือยุบสภา ถ้าทำแบบนี้จะต้องงดเว้นรัฐธรรมนูญหลายมาตรา ถือเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย ถ้ามีการเปลี่ยนแบบนอกระบบพรรคพลังประชาชนจะไม่ยอมร่วมมือด้วยอย่างแน่นอน โดยมีประชาชนทั่วประเทศที่ไม่เห็นด้วยพร้อมที่จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เพราะประเทศไทยจะเข้าสู่กลียุคเกิดสงครามประชาชนแน่ อย่างไรก็ตามทางกลุ่มเห็นว่า หากนายสมัครต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ก็พร้อมโหวตกลับให้นายสมัครกลับเข้ามาเป็นนายกฯ อีกครั้ง เหล่าทัพหนุนศาลคลี่คลายวิกฤติ รายงานข่าวจากแจ้งว่า บรรดาผู้นำกองทัพได้ร่วมกันหารือถึงสถานการณ์การเมืองที่กำลังตึงเครียด เพราะความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ก็เชื่อว่าที่สุดแล้วแต่ละฝ่ายจะเข้าใจและสามารถหาจุดร่วมกันได้ แม้ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายจะปฏิเสธมาร่วมเจรจากันก็ตาม อย่างไรก็ตาม เหล่าทัพเห็นว่า เมื่อกระบวนการทางศาล หรือกระบวนการยุติธรรม กำลังเดินหน้าทำหน้าที่ ก็อยากให้กำลังใจศาล เพื่อให้มีความเที่ยงธรรม มีประสิทธิภาพ และมีความกล้าหาญ เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองพ้นจากวิกฤติที่เกิดขึ้น เพราะศาลนับเป็นที่พึ่งสุดท้ายของคนไทยแล้ว



ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันที่ 9 กันยายน 2551
โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล ID : 5131601506
Section 2

ถก 3 ฝ่ายแนะถอยคนละก้าว แนะนายก ออก

การประชุมร่วม 3 ฝ่าย ประธานวุฒิสภา แนะสมัครลาออกเปิดทางตั้งรัฐบาลใหม่ และพันธมิตรฯต้องยุติการชุมนุมที่ประชุม 3 ฝ่ายความคืบหน้าการประชุมร่วม 3 ฝ่าย เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตประเทศ หลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ประกาศจุดยืนชัดเจนนายกรัฐมนตรีต้องลาออก ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช ยืนยันจะไม่ลาออก หรือยุบสภาตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ได้นำผลการหารือกับผู้บัญชาการทหารบก และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาแจ้งให้ที่ประชุมทราบ โดยผลการเจรจากับผู้บัญชาการทหารบก ตนเองได้แสดงความเป็นห่วงในสถานการณ์ขณะนี้ และอยากให้ทุกฝ่ายยึดความมั่นคงและประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก หันหน้าเข้าหากัน ถอยกันคนละก้าว ขณะที่ฝ่ายทหารได้ยืนยันหนักแน่น 2 ประเด็นหลัก คือ ไม่ให้ทหารใช้กำลังในการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ และทหารจะไม่ปฏิวัติรัฐประหารอย่างเด็ดขาด ซึ่งวิธีการทางรัฐสภา น่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดของบ้านเมืองในขณะนี้ ตัวแทนพรรคการเมืองร่วมประชุม3ฝ่ายแก้ไขปัญหาวิกฤตประเทศ โดยเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออก และกลุ่มพันธมิตรฯต้องยุติการชุมนุม สำหรับการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ได้ประสานไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการหารือกัน เนื่องจากเวลายังไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตามเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุด ทุกฝ่ายควรลดทิฐิ ถอยกันคนละก้าว พร้อมเสนอแนวทางปฏิบัติ คือ นายกรัฐมนตรีประกาศลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้มีการตั้งรัฐบาลใหม่ที่ทุกฝ่ายรับได้ ทำหน้าที่ชั่วคราวระยะสั้น ก่อนคืนอำนาจให้ประชาชนต่อไป หรือประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ส่วนพันธมิตรฯ ต้องเคารพอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และควรยุติการชุมนุม สำหรับแนวทางการทำประชามติที่นายกรัฐมนตรีเสนอ คณะทำงานเห็นว่าไม่น่าจะปฏิบัติได้ในขณะนี้.พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กล่าวก่อนเข้าร่วมประชุมร่วม 3 ฝ่าย เพื่อหารือแก้ปัญหาวิกฤติการเมืองว่า ทางเลือกในการแก้ไขปัญหา มีทั้งยุบสภา และให้นายกรัฐมนตรีลาออก แต่ขณะนี้ไม่สามารถเดาได้ว่านายกรัฐมนตรีจะเลือกแนวทางใด ส่วนการถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ยืนยันยังไม่มีการถอนตัวขณะนี้ด้านนายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า มารับฟังแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤติชาติที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยก่อนหน้านี้ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค บอกว่าการแก้ไขปัญหาต้องถอยกันคนละก้าว ทั้งนี้เชื่อว่าการเจรจาร่วมกันจะเป็นทางออกที่ดีในการแก้ไขปัญหา แม้ขณะนี้การเจรจาจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่หากมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะมีทางออก

ขอขอบคุณ www.sanook.com
โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล
ID : 5131601506 Section 2
สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

2551/09/06

ดันทุรัง ชาติบรรลัย

พังไปทั้งระบบ !!! ปั่นป่วนไปทั้งแผ่นดิน !!!
“วิกฤติชาติ” ครั้งนี้ ถือว่าหนักหนาสาหัส-สากรรจ์ยิ่งนัก ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เป็น “วิกฤติชาติ” หนักหนาสาหัส-สากรรจ์ ที่ 3 สถาบันหลักชาติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และ ฝ่ายตุลาการ ไม่อาจเป็น “กลไก” ขับเคลื่อนประเทศชาติได้อย่างเป็นปกติ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี หมดสภาพ หมดความชอบธรรม ในฐานะ “ผู้นำประเทศ” อย่างสิ้นเชิง เป็นการ “หมดความชอบธรรม” อย่างสิ้นเชิง ที่ถูกสังคมทุกภาคส่วนออกมาขับไล่ทั่วทั้งแผ่นดินทุกภาคส่วนที่ออกมาขับไล่ และขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น อธิการบดีหลายมหาวิทยาลัย คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต-นักศึกษา ภาคธุรกิจ สภาทนายความ วุฒิสภา ฝ่ายค้าน องค์กรภาควิชาชีพ องค์กรภาคเอกชน ฯลฯ ทุกภาคส่วนที่เห็นสอดคล้องในทิศทางเดียวกัน คือการแสดงจุดยืนให้ นายกรัฐมนตรี ลาออกหรือยุบสภา
ทว่า ความดื้อด้านของนายสมัคร ที่ประกาศไม่ยุบสภา ไม่ลาออก
ยืนยันเป็นรัฐบาลที่มาถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้ทำผิดอะไร และขออยู่ในตำแหน่งเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย
ยิ่งเป็นเงื่อนไขทำให้ “วิกฤติชาติ” ทรุดหนักยิ่งขึ้น
เป็นความ “ดันทุรัง” โดยไม่ฟังกระแสสังคม อย่างไร้ภาวะของ “นักปกครอง”
คำประกาศของนายสมัคร เช่นว่านี้ ได้สะท้อนถึงสภาวะ “ผู้นำ” ที่เสพติดอำนาจ จนมองไม่เห็นความฉิบหาย ป่นปี้ของประเทศชาติ
สะท้อนถึงสภาวะ “ผู้นำ” ที่หลงกิเลส-ตัณหาแห่งอำนาจ จนแยกไม่ออกระหว่าง “ความชอบธรรม” กับ “ไม่ชอบธรรม”
ยิ่งนายสมัคร พยายามตะแบง เทียบเคียงหากให้มีการเลือกตั้งใหม่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ชนะเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล และมีกลุ่มคนออกมาชุมนุมขับไล่ จะทำอย่างไร
ยิ่งนายสมัครตะแบง ยิ่งสะท้อนความเข้าใจ “ระบอบประชาธิปไตย” เพียงแค่ “เปลือก”
สะท้อนเป็นเพียง “นักเลือกตั้ง” ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้ปกครอง”
นายสมัครอาจ “มืด-บอด-ใบ้” ในระบอบประชาธิปไตย ไม่เข้าใจการที่ “ประชาชน” ออกมาขับไล่ “ผู้ปกครอง”
ในระนาบเดียวกันทั้งประเทศ ได้อย่าง “ชอบธรรม” ไม่ใช่เรื่องทำกันได้ง่ายๆ
การขับไล่ที่ “ไม่ชอบธรรม” ต่างหาก ที่เป็นเรื่องยากที่จะออกมาขับไล่ “ผู้ปกครองที่ชอบธรรม” ให้ลงจากอำนาจไปได้
หากนายสมัคร ลดโมหะ ลดทิฐิ ละวางการเอาชนะคะคาน และนั่งส่องกระจกสำรวจตัวเองบ้าง
อาจมองเห็นความแตกต่างระหว่าง “ความชอบธรรม” กับ “ไม่ชอบธรรม”

นายสมัครต้องกลับไปสำรวจ “เงื่อนไข” ที่ทำให้ตัวเอง “หมดความชอบธรรม”
- เริ่มตั้งแต่ออกมายอมรับเป็น “นอมินี” เป็น “หุ่นเชิด” ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็น “อาชญากรแผ่นดิน”
- การแต่งตั้งบุคคลภาพลักษณ์ไม่ดี ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เข้าดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรี” ภายใต้ระบบโควตา กลุ่ม
-ก๊วนการเมือง อย่างท้าทายสังคม- แต่งตั้ง นายไชยา สะสมทรัพย์ ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมชนชั้น “ผู้ปกครอง” กลับเข้ามาเป็น “รัฐมนตรี” ทันทีทันใด อย่างท้าทายสังคม ทั้งที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง ในความผิดไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน
- แต่งตั้ง อดีตแกนนำ นปก. เข้ามาเป็น “รัฐมนตรี” และมีบทบาททางการเมือง ทั้งที่มีพฤติกรรมจาบจ้วง “องคมนตรี” เป็นเรื่องที่สวนกระแสความรู้สึกสังคม- มีพฤติกรรมปลิ้นปล้อน กลับกลอก พยายามแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อหนีคดียุบพรรค เพื่อล้มกระบวนการตรวจสอบทุจริตของทักษิณ
- มีพฤติกรรมขายชาติ “เขาพระวิหาร” แม้แต่มติ ครม.ที่เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เรื่องสำคัญประเทศชาติ กลับไม่มีการเปิดเผยมติ ครม. เสมือน ครม.เป็นซ่องโจร ไม่ใช่สถานะฝ่ายบริหาร
- มีพฤติกรรมคุกคามสื่อ คุกคามประชาชน บ่อยครั้งและอย่างต่อเนื่อง
- แสดงความไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์ ใช้วาจาหยาบคาย ต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง- ขาดวุฒิภาวะผู้นำ ที่แสดงอารมณ์ไม่อยู่กะร่องกะรอย เดี๋ยวดี-เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวร้องเพลง
-เดี๋ยวตาขวาง เดี๋ยวแตกหัก
-เดี๋ยวนุ่มนวล เดี๋ยวประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
-เดี๋ยวเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
- ใช้อำนาจรัฐปกป้อง นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างไม่สนใจกระแสเรียกร้องสังคม
- มีพฤติกรรมชอบแอบอ้าง “เบื้องสูง” อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นเครื่องมือในการดำรงสถานะรัฐบาล โดยเฉพาะการกล่าวถึง “เบื้องสูง” ว่า “เจ้านาย” เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
- มีพฤติกรรมที่แสวงหาผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะอาการลุกลี้ลุกลน การผลักดันโครงการเมกะโปรเจกต์หลายโครงการหลายแสนล้านบาท
- ใช้อำนาจรัฐแทรกแซง ทีวี NBT เป็นเครื่องมือบิดเบือนข่าวสาร เป็นกระบอกเสียงรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว
- ใช้อำนาจรัฐทำลายฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกันกลับใช้อำนาจรัฐปกป้องพรรคพวกตัวเองฯลฯพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลทั้งหมดนี้ เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่านายสมัคร “หมดความชอบธรรม” ในฐานะผู้ปกครองอย่างสิ้นเชิง

แม้นายสมัคร มีความพยายามใช้กระบวนการศาลมาช่วยแก้ปัญหา ทว่าเป็นเพียงการยืมมือศาลมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
แม้นายสมัคร มีความพยายามใช้กระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติมาช่วยแก้ปัญหา ทว่าเป็นเพียงการยืมมือสภาฯ มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อฟอกตัวรัฐบาล
แม้นายสมัคร มีความพยายามผลักดันทำ “ประชามติ” ทว่าเป็นเพียง เกม-ซื้อเวลา เพื่อเยื้ออยู่ในอำนาจรัฐ
แม้นายสมัคร มีความพยายามใช้ “กองทัพ” มาช่วยคลี่คลายปัญหา ทว่าเป็นการปัดภาระความรับผิดชอบไปให้ทหาร

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน โดยที่เนื้อแท้ของปัญหายังดำรงอยู่
เป็นเพียงการยืมมือ “ศาล-สภาฯ-กองทัพ” เป็นเครื่องมือ “ฟอกตัวผู้นำ” ที่ไม่อาจฟื้นความชอบธรรมขึ้นมาได้
กุญแจดอกสำคัญ “ดอกเดียว” ในการแก้ “วิกฤติชาติ” เวลานี้
อยู่ที่ตัว นายสมัคร สุนทรเวชเป็น “กุญแจดอกเดียว” ที่จะไขไปสู่ “ทางออก” และหยุดยั้งความเสียหายของประเทศชาติเวลานี้
ทางออกที่ว่าคือ ยุบสภา หรือ ลาออก
นายสมัคร ต้องรีบตัดสินใจ บนความรับผิดชอบในฐานะ “ผู้ปกครอง” ก่อนที่ประเทศชาติจะฉิบหาย-บรรลัยไปมากกว่านี้
ที่มา : http://www.banmuang.co.th/POLITIC.ASP?id=150564
โดย : นางสาว อนัญญา สืบสิน
ID. 5131601570 Section. 02

"อัมรินทร์"ยกประวัติอิสราเอลเตือนสติผู้นำนึกถึงประโยชน์ชาติ

"อมรินทร์ คอมันตร์"ยกกรณีศึกษาประเทศอิสราเอล สร้างชาติใหม่ได้ เพราะผู้นำปกป้องผลประโยชน์คนในชาติ ผิดกับรัฐบาลไทย ที่ปล่อยให้ประชาชนลอยเคว้ง เอาแต่หาผลประโยชน์ใส่ตัว ย้ำร่วมต่อสู้ขับไล่รัฐบาลชั่ว เพื่อพี่น้องไทย มีแผ่นดินอยู่ต่อไปอีก 2,000 ปี วันนี้ (6ก.ย.) เวลาประมาณ 20.20 น. ดร.อัมรินทร์ คอมันตร์ นักธุรกิจระหว่างประเทศ กล่าวบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้เดินทางไปทำธุรกิจในประเทศอิสราเอล ซึ่งประเทศนี้ เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน มีผู้บริหารประเทศ นักการเมือง และผู้นำทำร้ายประเทศชาติ จนทำให้อิสราเอลไม่มีประเทศมาเป็นระยะเวลากว่า 2,000 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่คนอิสราเอล ต่างเร่ร่อนไปอยู่ในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย และไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ก็ถูกข่มเหงมาตลอด โดยเฉพาะในยุโรป เพราะมีผู้บริหารโกงชาติแผ่นดินทำร้ายประชาชน แต่หลังจากนั้น ก็สามารถตั้งชาติได้เมื่อ 60 ปีที่ผ่านมานี่เอง โดยมีประชาชนประมาณ 7 ล้านคนที่สามารถอยู่ได้ท่ามกลางผู้ไม่เป็นมิตรถึง 200 ล้านคน ซึ่งการที่เขาอยู่ได้ เพราะมีความเป็นชาตินิยม ทั้งประชาชน ผู้บริหารประเทศมีความผูกพันต่อประเทศชาติและแผ่นดิน โดยเขาปกป้องผลประโยชน์คนในชาติ ไม่ให้ธุรกิจจากต่างชาติเข้าในประเทศ นอกจากนั้น ยังปกป้องเกษตรกรไม่ให้สินค้าเกษตรจากต่างประเทศเข้าประเทศ รวมถึงร้านอาหารต่างชาติที่เข้าไปก็ไม่ให้คนต่างชาติเป็นหัวหน้ากุ๊ก ซึ่งทุกอย่างที่เขาทำล้วนปกป้องคนในชาติเขาทั้งนั้น "ผมมีโอกาสได้นั่งแทกซี่ คนขับบอกว่า ลูกของเขาเป็นกงสุลอยู่ที่อเมริกา และเขาเองก็ไปรบในสงครามมา 5 ครั้ง และเขาเคยมาเที่ยวไทย 2 ครั้งด้วย ซึ่งการเดินทางมาของเขาก็มาด้วยเครื่องบินมีระดับ และไปเที่ยวตั้งแต่เหนือจรดใต้ ซึ่งมาจากชีวิตของเขาที่มีความอยู่ดีกินดี"ดร.อัมรินทร์กล่าว ดร.อัมรินทร์กล่าวต่อว่า สิ่งที่พูดไปทั้งหมด คือความอยู่ดีกินดีที่ประชาชนเราต้องการ ประเทศชาติอยู่ดี และต้องมีรัฐบาลที่อยู่เคียงข้างประชาชน รัฐบาลที่รักสถาบัน การที่เรามาวันนี้ เพราะเรานึกถึงวันต่อไปข้างหน้า วันที่เราต้องการรัฐบาลที่ยืนอยู่ข้างประเทศ ประชาชน สถาบัน และปกป้องคนไทยให้มีกินมีใช้ และเอารัฐวิสาหกิจกลับคืนมาเป็นของรัฐ เอาแผ่นดินกับมาเป็นของไทย ให้คนไทยมีแผ่นดินอยู่ทุกคน ถ้าเราไม่สู้ และไม่เสียสละ เราก็จะไม่มีวันได้อะไรขึ้นมา ถ้าดวงวิญญาณของวีระบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระสุริโยทัย พระเจ้าตากสิน รวมถึงทหารหาญทั้งหลาย ที่เสียสละเพื่อเราให้เราประเทศไทยในวันนี้ ดังนั้น วันนี้ จึงเป็นวันที่เราร่วมใจกันรักษาประเทศเรา เพื่อคนไทยได้อยู่ไปอีก 2,000 ปี
โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล ID:5131601506 Major : Law

2551/09/05

'สมัคร'ทูลเกล้า รมว.ต่างประเทศคนใหม่แล้ว

วันนี้ (5 ก.ย.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังตรวจเยี่ยมการก่อสร้างพระเมรุ ที่จะใช้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ว่า ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมรายชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ แทนนายเตช บุนนาคแล้วในวันนี้ ทั้งนี้ นายกฯ ปฎิเสธที่จะเปิดเผยบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ เพียงกล่าวว่า เป็นคนใหม่ อย่างไรก็ตาม คาดว่าผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรมว.ต่างประเทศคนใหม่ คือ นายสาโรจน์ ชวนะวิรัช วัย 66 ปี อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสิงคโปร์, อธิบดีกรมอาเซียน และปลดเกษียณในตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำฝรั่งเศส เมื่อปี 2543.

ที่มา : http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=175938&NewsType=1&Template=1
โดย :นางสาว อนัญญา สืบสิน
ID. 5131601570 Section. 02

พักยกการเมือง มาวางแผนการทำงานใหม่ดีกว่า

ทำงานแบบไหนไม่เครียด

ช่วงนี้หลายๆคนคงจะเครียดเรื่องการเมืองเพราะการเมืองย่ำแย่ เศรษฐกิจก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก ส่วนนักศึกษาช่วงนี้ก็จะสอบแล้ว รายงานก็ยังเยอะ โอ้ย! จะเริ่มตรงไหนดีเนี่ย ตอนนี้หลายๆคนคงจะเป็นแบบในภาพนี้ ซึ่งไม่รู้จะเริ่มยังไงก่อนดี วันนี้มีวิธีดีๆที่จะช่วยให้หลายๆคนมีความสุขในการทามงานมากขึ้น
บางท่านอาจจะยึดถือคตินี้อยู่หรือเปล่าว่า

" งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข "
แต่คำพวกนี้เห็นจะเป็นคำกล่าวที่ไม่จริงไปซะทั้งหมดอีกต่อไป เพราะหลายคนแม้จะมีหน้าที่การงานที่ได้เงินเดือนสูง ก็ยังบ่นว่าไม่มีความสุข เพราะงานนั้นเป็นงานที่เครียด ส่วนหนึ่งอาจจะด้วยลักษณะงาน แต่ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากวิธีการทำงานของเราเอง ซึ่งถ้าเกิดจากวิธีการทำงานของเราเองมีวิธีแก้ดังนี้ ค่ะ
- ต้องเลือกทำทีละเรื่อง
- มีการวางแผน
- จดไว้บ้าง เอาวางไว้บ้าง เป็นลักษณะของการลำดับงาน ชั่วโมงนั้นมีอะไร ช่วงโมงนี้มีอะไร ทำได้ก็ทำไป ทำไม่ได้ก็วางไว้ก่อน จดแปะข้างฝาไว้ ฝากเพื่อนไว้ - บนโต๊ะอย่าเอาอะไรวางกองไว้เป็นตั้งๆ มองเห็นแล้วทำให้จิตใจมัวหมอง นั่นยังไม่เสร็จ นี่ก็ยังไม่เสร็จ เก็บให้เรียบร้อย อะไรจะทำอาทิตย์นี้ อะไรจะทำอาทิตย์หน้า วางเป็นเรื่องๆไว้ - หยิบขึ้นมาทำตามเวลา ตามแผนของงาน ต้องวางแผนและระดับความสำคัญ หยิบเรื่องที่มีความสำคัญขึ้นมาทำก่อน พูดถึงเรื่องจดเรื่องจำทำให้นึกถึงคำกล่าวหนึ่งขึ้นมาได้ “จำไว้ดีกว่าจด ถ้าจำไม่หมดจดไว้ดีกว่าจำ แต่พวกเราชอบทั้งจำทั้งจด เลยจำไม่หมดทั้งจดทั้งจำ
ขอขอบคุณ http://www.sanook.com/
โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล
ID 5131601506 Section 2
Major Law

2551/09/04

น่ารักดีนะ

หลบหลีกเรื่องการเมืองซักพัก มาคลายเครียดด้วยภาพน่ารักๆกันมั้งดีกว่านะ

















อึ้ง!รมต.หญิงฝรั่งเศสตั้งท้อง

อึ้ง!รมต.หญิงฝรั่งเศสตั้งท้อง เมินบอกสื่อใครพ่อเด็กรัฐมนตรียุติธรรมฝรั่งเศสฉาว ตั้งท้องไม่บอกสาธารณชนและสื่อใครเป็นพ่อเด็ก เผยทำชอบตัวขึ้นปกนิตยสารเป็นคนดังมากกว่าทำหน้าที่ราชการแผ่นดิน
P { margin: 0px; }
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ว่า นางราชิด้า ดาตี วัย 42 ปี รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ฝรั่งเศส ตกเป็นข่าวอื้อฉาวหลังจากตั้งครรภ์ โดยที่เธอปฎิเสธที่จะให้เปิดเผยแก่สื่อมวลชนว่า ใครเป็นพ่อของเด็ก อ้างว่าเป็นชีวตส่วนตัวของเธอค่อนข้างซับซ้อน และเธอจะจำกัดชีวิตส่วนตัวกับสื่อ โดยจะไม่พูดอะไรในเรื่องนี้ พร้อมทั้งยืนยันว่า เธอจะดำรงตำแหน่งต่อไปโดยไม่ลาออก เพราะการตั้งท้องไม่ใช่โรคร้าย

รายงานระบุว่า ก่อนหน้านี้ นางดาตี ถือเป็นหน้าตาที่แปลกใหม่ของครม.ของประธานาธิบดีนิโกลาร์ ซาร์โกซี ผู้นำฝรั่งเศส ซี่งต้องการเพิ่มรัฐมนตรีที่หลากหลายให้แก่ฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม เธอถูกวิจารณ์ว่า ชอบทำตัวขึ้นปกนิตยสาร โดยหวังจะเป็นคนดัง มากกว่าที่จะปฎิบัติราชการด้านกระทรวงยุติธรรมเสียอีก
ที่มา
มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/
โดยนายศรัณยู บุญประจง ID 5131601500section 02
สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ตะลึง!แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือเท่า"แมนฮัตตัน"แตกตัว

ตะลึง!แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือเท่า"แมนฮัตตัน"แตกตัวระทึก!เผยแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่เท่าเมืองแมนฮัตตันแตกตัวจากขั้วโลกเหนือ บ่งชี้ภาวะโลกร้อนส่วนแผ่นน้ำแข็งใหญ่อีกสองยังหดตัวลงด้วย
P { margin: 0px; }
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเดเร็ก มูลเล่อร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นนำแข็งอาร์คติก ประจำมหาวิทยาลัยเทรนต์ ในเมืองออนตาริโอ เปิดเผยว่า แผ่นน้ำแข็ง"มาร์คแฮม"ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าเมืองแมนฮัตตัน หรือขนาด 19 ตร.ไมล์ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแคนาดา ได้แตกตัวออกไปเมื่อเดือนส.ค.และถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจครั้งใหม่เพราะแผ่นน้ำแข็งดังกล่าวเกิดหายไปอย่างฉับพลัน และเน้นให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในขั้วโลกเหนือ

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญรายนี้เผยด้วยว่า น้ำแข็งใหญ่อีก 2 แผ่นยังแตกตัวจากแผ่นน้ำแข็งเซอร์ซัน ไอซ์ ชีฟ จากการหดตัวลงเหลือเพียง 47 ตร.ไมล์ หรือลดตัวลง 60 % ขณะที่แผ่นน้ำแข็งวาร์ด ฮันท์ ไอซ์ เชฟ ก็ยังคงแตกตัว และเริ่มสูญเสียพื้นที่ขยายแผ่นดินน้ำแข็งจำนวน 8 ตร.ไมล์

ที่มา
มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/
โดยนายศรัณยู บุญประจง ID 5131601500
02 สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ผลสำรวจ ชี้ เด็กไทยมีโอกาสศึกษาสูงขึ้น เด็กเรียนปริญญาเพิ่ม แต่มีปัญหาเรื่องคุณภาพ

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายวิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในการสัมมนาเรื่อง "โครงการสภาวะการศึกษาไทย" ปี 2550/2551 จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ณ โรงแรมมิราเคิล กรุงเทพฯ ว่า ตนได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “สภาวะการศึกษาไทย ปี 2550/2551 ปัญหาความเสมอภาคและคุณภาพของการศึกษาไทย” เพื่อนำเสนอต่อสำนักวิจัยและพัฒนาการศึกษา สกศ.ซึ่งผลการศึกษาพบว่า จากสถิติและข้อมูลประมาณการที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รวบรวม การจัดการศึกษาในช่วงปีการศึกษา 2549-2551 สะท้อนว่า โดยภาพรวมการศึกษายังมีปัญหาทั้งปริมาณและคุณภาพ แม้จะพบว่า ประชากรในวัยเรียน 3 - 17 ปี มีโอกาสได้รับการศึกษาเป็นสัดส่วนต่อประชากรสูงขึ้นจาก 85.3%1 ในปีการศึกษา2549 เป็น 88.77% ในปี 2551 แต่ก็ยังพบว่าประชากรในวัย3 - 17 ปีไม่ได้เรียนในปีการศึกษา2551 สูงถึง 1.6 ล้านคนหรือ 11.23 %ของประชากรวัยเดียวกัน ทั้งที่กฎหมายกำหนดให้รัฐบาลจัดการศึกษาภาคบังคับแก่ประชาชน 9 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีเด็กไม่ได้เข้าเรียนและออกกลางคันไม่ได้เรียนต่อในช่วงชั้นต่างๆมากโดยจากข้อมูลออกกลางคันปี 2550 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)พบว่ามีนักเรียนออกกลางคันในทุกระดับชั้นรวม 1.19 แสนคนหรือ 1.4 % นายวิทยากร กล่าวต่อว่าในส่วนของอุดมศึกษาจำนวนนักศึกษาในปี 2549 - 2550 ประมาณ 2.4 ล้านคนเรียนจบปีละ 2.7 แสนคนว่างงานปีละ 1 แสนโดยนักศึกษาระดับปริญญาโทจำนวน1.8 แสนคนและปริญญาเอกจำนวน 16,305 คน ซึ่งจุดนี้ทำให้ผู้เรียนในระดับต่ำกว่าปริญญาตรีในปี 2550 มีจำนวนลดลงเพราะสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่จะขยายการเรียนระดับปริญญาตรีและสูงกว่ามากขึ้นเนื่องจากคนนิยมเรียนให้ได้ปริญญาเพิ่ม ทั้งนี้สำหรับประเด็นปัญหาการพัฒนาคุณภาพในการจัดการศึกษานั้นจากการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันกับประเทศต่างๆ อันดับของไทยมีแนวโน้มต่ำลงมาตลอด ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวฉุดก็คือปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการศึกษาและการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้จากการประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)ที่ผ่านมานอกจากมาตรฐานการศึกษาที่มีปัญหาแล้วในส่วนของมาตรฐานครู ในด้านความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญยังพบว่าสถานศึกษามีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 34.2 หรืออยู่ในเกณฑ์ต้องปรับปรุง“ในอนาคตจำนวนประชากรไทยจะเพิ่มอย่างช้า ๆ แต่โครงสร้างอายุจะเปลี่ยนไป คือมีผู้สูงอายุเกิน 60 ปีเป็นสัดส่วนสูงขึ้น มีสัดส่วนคนวัยทำงานและวัยเด็กจะลดลง ในขณะที่เศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมโลกจะมีปัญหามากขึ้น จึงต้องจัดการศึกษาแบบเน้นคุณภาพ เข้าใจปัญหาและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งจัดการศึกษาและจัดกิจกรรมให้ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุให้เรียนรู้ใหม่ปรับตัวใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค” นายวิทยากร กล่าวและว่า สำหรับแนวทางการปฏิรูปการศึกษามีหลายเรื่องที่อยากจะเสนอศธ. อาทิ ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารการศึกษาแบบลดขนาดและบทบาทของการบริหารแบบรวมศูนย์อยู่ที่รัฐมนตรีวาการกระทรวงศึกษา และส่วนกลางลง ,กระจายอำนาจให้มีการบริหารแบบใช้ปัญญารวมหมู่, ปฏิรูปการจัดสรรและการใช้งบประมาณให้เป็นธรรม มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ,ปฏิรูปด้านคุณภาพประสิทธิภาพและคุณธรรมของครูอาจารย์อย่างจริงจังเปลี่ยนแปลงวิธีการวัดผลสอบแข่งขันและการคัดเลือกคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ จากการสอบปรนัยที่เน้นคำตอบสำเร็จรูปไปเน้นการวัดการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง ที่สะท้อนความรู้ความสามารถอย่างเป็นองค์รวม นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญจะต้องปฏิวัติการศึกษาให้เกิดความเสมอภาคโดยเฉพาะต้องทุ่มงบประมาณกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ไม่ใช่ไปทุ่มงบประมาณกับโครงการเมกะโปรเจคท์ การพัฒนาเด็กปฐมวัยจะทำให้เด็กฉลาด เมื่อเรียนในระดับสูงขึ้น เช่น ประถมศึกษา มัธยมจะมีคุณภาพ นายไพฑูรย์ สินลารัตน์ อดีตคณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า เป้าหมายการจัดการศึกษาของไทยทั้งด้านคุณภาพและการพัฒนายังกระจัดกระจาย แต่ละหน่วยงานแต่ละฝ่ายต่างมุ่งพัฒนาเด็กไปตามเป้าหมายของตัวเอง ทำให้เด็กที่จบมาตั้งแต่ระดับประถมจนถึงปริญญาตรีมีปัญหาด้านคุณภาพ เมื่อจบปริญญาตรีไม่ได้คุณภาพก็ไปเรียนต่อปริญญาโท เมื่อจบปริญญาโทไม่ได้คุณภาพก็ไปเรียนต่อปริญญาเอก ทำให้การศึกษาไทยเดินไปสู่ความไม่เอาไหน อย่างเด็กบางคนเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยเขียนคำว่าแพทย์ และคำว่าสร้างสรรค์ไม่ถูกเลยอาจเป็นผลมาจาการเรียนในระดับมัธยมศึกษาดูแล้วก็น่าเป็นห่วงแทน
โดย นางสาวธิติมา ถนอมรอด
ID.5131601352 Section 02

ถึงเวลาใช้กรรม

มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวผม หลังจากมีความเคลื่อนไหวของฝ่ายภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ตอนนี้ไปทางไหนมีแต่คนตื่นตัวเรื่องข่าว สารของบ้านเมือง ส่วนใหญ่จะถามว่า “ตกลงบ้านเมืองเราจะเป็น อย่างไรต่อไป” ผมก็จนด้วยเกล้าตอบไม่ได้ เพราะคนที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดคือคนชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ถ้าเป็นเพียงคนธรรมดา หรือเป็นแค่นักจัดรายการชิมไปบ่นไปหรือ ยกโขยงหกโมงเช้า คงไม่มีใครสนใจท่าน แต่พอมีสถานะเป็นผู้บริหารประเทศ แม้จะมีทั้งคนต่อต้านหรือสนับสนุนมันมีผลกระทบกับประเทศชาติแทบทั้งสิ้น ลองดูซิครับเคยมีรัฐบาลชุดไหนที่มี ประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสน ไปยึดทำเนียบรัฐบาล จนทำให้นายกฯเข้ามาทำงานไม่ได้จนเกือบจะครบ 10 วันแล้วครับ ต้องกลายเป็นคนร่อนเร่พเนจรอาศัยพื้นที่ของกองทัพเป็นสถานที่ทำงาน เห็นแล้ว รู้สึกอเนจ อนาถใจ อย่างล่าสุดนายกฯสมัครมอบหมายให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เป็นหัวหน้ารับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตาม ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งนายทหารท่านนี้ก็ออกมายืนยันว่า จะไม่ใช้ความรุนแรง และเน้นการเจรจาเพื่อหาทางออก เพราะ รู้ดีว่างานนี้รับเผือกร้อนไปเต็ม ๆ จึงไม่แปลกใจ พอ ผบ.ทบ.ออก มาประกาศจุดยืนว่าขอยืนเคียงข้างประชาชน เราจึงได้เห็นนอมินีจัดตั้งอย่าง “จาตุรนต์ ฉายแสง” ออกมากดดันผ่านสื่อของรัฐ ว่า ผบ.ทบ. ต้องไปผลักดันให้กฎหมายมีผลบังคับใช้อย่างเคร่งครัด พูดง่าย ๆ ทั้งนายและบ่าว คงหวังจะให้ ผบ.ทบ. ต้องตกเป็นแพะรับบาป เหมือนกับ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง หรือข้าราชการบางคน ทั้งที่วิกฤติของบ้านเมืองเกิดจาก คนในรัฐบาลแท้ ๆ แต่กลับจะมาให้คนที่ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหา ต้องรับผิดชอบ เพราะมีข่าวลือออกมาเป็นระยะ ๆ ว่า มีบิ๊กทหาร จะขอร้องให้นายกฯออกมาจากตำแหน่ง จึงโยนภาระแก้ปัญหาเรื่องม็อบพันธมิตรฯมาให้ดำเนินการ หวังใช้เกมนี้มาเชือดคนไม่ทำร้ายประชาชน แต่ขอโทษทีถ้าใครคิดจะหาเหตุ ไม่ใช้ความรุนแรง จัด การกับพันธมิตรฯมาปลด พล.อ.อนุพงษ์พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. คงไม่ได้ทำง่าย ๆ เหมือนกับ เชือด อดีต ผบช.น. เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่านายทหารรุ่นเดียวกับนายใหญ่จะไม่พอใจ แต่นายกฯสมัครไม่สนใจ เพราะรู้สถานการณ์อย่างนี้ต้องพึ่งใคร ถึงจะอยู่ได้นานที่สุด แต่ถ้าหากผู้นำรัฐบาลคิดจะปลดหรือเปลี่ยนตำแหน่งใคร ก็ตาม ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ผมขอแนะนำว่าท่านต้อง ปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ และ พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว พ้นจากตำแหน่งหลัก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดการกับผู้ชุมนุม เพราะเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างประชาชนที่มีแนวความคิดต่างกัน 2 กลุ่ม ถือเป็นความบกพร่องที่ชัดเจนต้องมีคนรับผิดชอบ ยิ่งผมเห็นภาพข่าวหน้า 1 ของ นสพ.เดลินิวส์วันที่ 3 ก.ย. มีภาพ นักเคลื่อนไหวใส่เสื้อแดง ชูมีดดาบหราคล้ายกับว่ากำลังทำสงครามกับคนจะเข้ามาปล้นบ้านปล้นเมือง แต่นี่สู้รบกับคนไทยด้วยกันเอง จึงสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ปล่อยนักรบท่านนี้ถือดาบออกมาโชว์ได้อย่างไร เพราะ มันผิดกฎหมายชัด ๆ ในเรื่องการพกพาอาวุธต่อที่สาธารณะ อย่าลืมว่า เหตุการณ์ปะทะกันเมื่อกลางดึกวันที่ 1 ก.ย. มีคนตายด้วยนะครับ วันนี้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบจากการ เสียชีวิตของชาวบ้าน ที่ออกมาช่วยปกป้องผู้มีอำนาจบางคน หรือถึงเวลาต้องชดใช้กรรม เพราะบังเอิญเคยไปเป็นตัวละครสำคัญในช่วงเกิดเหตุการณ์ 6 ต.ค. 19 และ “พฤษภาทมิฬ 35” จึงมีอะไรมาปิดหูปิดตาจนไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของคนทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในขณะนี้.
เขื่อนขันธ์
ที่มา http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_columns/default.aspx?CategoryID=37&NewsType=2

โพสต์โดย น.ส.นันทวัน ไชยพงษ์ 5131601365 section 2
ทูตสหรัฐฯหารือการเมือง อภิสิทธิ์ [3 ก.ย. 51 - 04:37]


เมื่อเวลา 15.30 น. วานนี้ (2 ก.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเอริด จี จอร์น เอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกา เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง โดยนายเอริด จี จอร์น กล่าวว่า มาหารือพูดคุยกันในเรื่องทั่วไป โดยได้ตระเวนไปหารือสถานการณ์ต่างๆ กับทุกพรรคการเมือง ส่วนสถานการณ์วิกฤติของประเทศไทยขณะนี้ ขอไม่แสดงความคิดเห็นหรือยุ่งเกี่ยวอะไร แต่เชื่อว่าจะได้รับการแก้ไขตามขั้นตอนทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ
ด้านนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายเอริดได้แสดงความห่วงใยในฐานะมิตร ได้สอบถามการประเมินสถานการณ์ ของพวกเรา จึงได้อธิบายถึงการประเมินสถานการณ์และให้ข้อมูลเท่าที่ทราบ รวมทั้งได้พูดถึงจุดยืนของพรรค นายเอริดเองก็มีความประสงค์อยากจะเห็นการคลี่คลายสถานการณ์ไปอย่างสงบ ภายในกรอบกฎหมาย และวิถีทางประชาธิปไตย
โดย นางสาว จุฑาทิพย์ เม้าคำ ID.5131601277 Section 02

2 ขั้วการเมืองบนความเหมือน-ความต่าง'สมัคร สุนทรเวช-พล.ต.จำลอง ศรีเมือง'

ประวัติส่วนตัวโดยสังเขป "สมัคร สุนทรเวช" เกิดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2478 เรียบจบปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนเล่นการเมืองทำงานบริษัทเอกชนควบคู่ไปกับการเป็นนักเขียนบทความ ความคิดเห็นทางการเมืองแบบไม่ประจำในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์และหนังสือพิมพ์ชาวกรุง นอกจากนี้เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย ก่อนลงเล่นการเมืองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มมีความโดดเด่นช่วงปี พ.ศ. 2519 หลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 รับตำแหน่ง รมว.มหาดไทย พร้อมลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ จากนั้น พ.ศ. 2522 ก่อตั้งพรรคประชากรไทย มีฐานเสียงอยู่ในพื้นที่ กทม.เป็นหลัก
เส้นทางการเมือง ส.ส.กทม.หลายสมัย ผ่านตำแหน่งการเมืองมาอย่างโชกโชน ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร อาทิ รมช.เกษตรฯ รมว.มหาดไทย รมว.คมนาคม รองนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าฯ กทม. ว่าที่ ส.ว.กรุงเทพฯ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
บุคลิกส่วนตัว เป็นนักโต้วาทีเก่า มีความสามารถในการพูด มั่นใจในตัวเองสูง ดื้อ
ฉายา ชมพู่ (มาจากลักษณะจมูก)
สัตว์เลี้ยง เป็นคนรักแมวเป็นชีวิตจิตใจ
อุปนิสัยการกิน เป็นนักชิมตัวฉกาจ ชอบทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ กินวันละหลายมื้อ ชอบทานขนมและโอวัลตินเย็น กรณีชอบกินนี้เคยถูกนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร
เหตุการณ์การเมืองครั้งสำคัญ ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองมาโชกโชนทั้ง 14 ตุลา 16 โดยเฉพาะเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทโดดเด่น ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นายสมัครดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.สุจินดา
ความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รู้จักกันมานานและเป็นผู้สนับสนุนการทำงานของพ.ต.ท.ทักษิณผ่านรายการ “สมัคร-ดุสิตคิดตามวัน” จนมีการ ยุบพรรคไทยรักไทย ได้ลาออกจากพรรคประชากรไทยที่ตัวเองก่อตั้งไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่มีอดีต ส.ส. ที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณสังกัดอยู่ โดยประกาศตัวว่าเป็น “นอมินี” ผิดตรงไหน
สถานะปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม หัวหน้าพรรคพลังประชาชน
ณ ชั่วโมงนี้ แม้จะถูกต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ก็ยังประกาศจะยึดระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีการลาออกหรือยุบสภาตามคำเรียกร้องของฝ่ายต่าง ๆ ที่เริ่มดังขึ้น ๆ โดยมีกลุ่มคน “สีแดง” ให้การสนับสนุน.
ประวัติส่วนตัวโดยสังเขป "จำลอง ศรีเมือง" เกิดเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2478 ย่านฝั่งธนบุรี จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น จปร.7 ถูกเพื่อน ๆ เรียกว่า “จ๋ำ” ขณะที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า “มหา” เพราะเป็นนายทหารที่ใฝ่ธรรมะ ปัจจุบันสมรสกับ พ.ต.หญิงศิริลักษณ์ ศรีเมือง เคยผ่านสมรภูมิรบมาหลายครั้ง
เส้นทางการเมือง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นในปี 2528 พล.ต.จำลองลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามกลุ่มรวมพลังได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น จากนั้นปี 2531 ก่อตั้งพรรคพลังธรรม จากนั้นปี 2533 ชนะการเลือกตั้งใน กทม.อย่างถล่มทลายจนเป็นกระแส “จำลองฟีเวอร์” ช่วงเป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยที่ 2 ก็ผันตัวเองลงการเมืองระดับชาติ เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
บุคลิก เป็นคนพูดน้อย แต่ทำจริง มุ่งมั่น
ฉายา มหา 5 ขัน (เคยออกมาระบุว่า ปฏิบัติตัวสมถะ นอนไม้กระดานและอาบน้ำครั้งละ 5 ขัน)
รักสัตว์ รักสัตว์โดยเฉพาะสุนัขเพราะครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ก่อตั้ง “สถานที่เลี้ยงสุนัขจรจัด” ย่านทุ่งสีกัน ดอนเมือง
อุปนิสัยการกิน โด่งดังจากการรณรงค์ให้กินอาหารมังสวิรัติ และกินมื้อเดียวจนได้ฉายาว่า “มหามื้อเดียว”
เหตุการณ์การเมืองครั้งสำคัญ มีบทบาทครั้งสำคัญในเหตุ การณ์พฤษภาทมิฬปี 35 โดยเป็นแกนนำต่อต้านรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ถึงขนาดประกาศอดข้าวประท้วง จนมีการจับกุมเป็นเหตุให้เกิดการปราบปรามจนมีประชาชนเสียชีวิต
ความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ชักนำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าสู่เส้นทางการเมืองในปี 2537 โดยเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมที่ตัวเองก่อตั้ง ได้ชื่อว่าเป็นผู้สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณมาตลอดจนกระทั่งปลายปี 2548 เป็น 1 ในกลุ่มประชาชนที่ต่อต้านและเรียกร้องให้ พ.ต.ท. ทักษิณลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สถานะปัจจุบัน 1 ใน 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย
ณ ชั่วโมงนี้ กำลังชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช โดยยึดทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. โดยเรียกร้องให้นายสมัคร ลาออกโดยมีประชาชนกลุ่ม “สีเหลือง” ให้การสนับสนุน.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=175772&NewsType=1&Template=1

โพสต์โดย น.ส.นันทวัน ไชยพงษ์ 5131601365 section 2

อำนาจ "หมัก" ล้นฟ้า! สั่งเคลื่อนทหารได้เอง ดึงกม.สำคัญ20ฉบับอยู่ในมือ ไฟเขียวตร.จัดการคนทำผิดกม.( วันที่ 04 กันยายน พ.ศ. 2551 )

ครม.ไฟเขียวให้ "สมัคร" ริบอำนาจรัฐมนตรีทั้งหมด พร้อมกฎหมายอีก 20 ฉบับ รวมทั้งกฎหมายอาญา-ประกาศเคลื่อนย้ายทหาร ตั้ง"อนุพงษ์"เป็น ผอ.กองแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอีกตำแหน่ง มทภ.1 ให้ตำรวจแจ้งความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ ยันคนผิดต้องถูกดำเนินคดี
P { margin: 0px; }
ครม.ตั้ง "อนุพงษ์" ผอ.กอฉ.
เวลา 12.40 น. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีฉุกเฉินว่า การประชุม ครม.ครั้งนี้เป็นการประชุมตามกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้ ครม.รับทราบและเห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภายใน 3 วัน โดยได้มีการออกประกาศเพิ่มเติม 2 ฉบับโดยความเห็นชอบของ ครม. คือ นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้จัดตั้งกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) มี ผบ.ทบ.เป็นผู้อำนวยการ และมี ผบ.ตร. แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นรองผู้อำนวยการ แล้วมีรองปลัดกระทรวงยุติธรรม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ ปลัด กทม. ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและสถานการณ์ที่ผู้อำนวยการเห็นสมควรแต่งตั้ง เป็นกรรมการ และผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีเจ้ากรมยุทธการทหารบกเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ คนที่ 1 เสนาธิการกองทัพภาคที่ 1 เป็นกรรมการและเลขานุการคนที่ 2 รวมทั้งข้าราชการตำรวจและข้าราชการพลเรือนตามผนวก เป็นเจ้าหน้าที่ รวมทั้งสิ้น 19 ตำแหน่ง
กำหนดหน้าที่ 9 ข้อ-ดูแลกทม.
พล.ต.ท.วิเชียรโชติกล่าวว่า กอฉ.มีอำนาจ 1.เป็นหน่วยงานพิเศษปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในเขต กทม. 2.จัดให้มีหน่วยงานหรือศูนย์ปฏิบัติการ เพื่อเป็นองค์ประกอบภายใต้ กอฉ. โดยมีอำนาจในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม รวมทั้งระงับยับยั้งเหตุฉุกเฉิน ตามที่ได้รับมอบหมาย 3.ดำเนินการด้านการข่าวต่างๆ 4.ดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลและประชาชนทุกภาคส่วน รวมทั้งปฏิบัติการจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง สำหรับการดำเนินการด้านการข่าวและต่อต้านข่าวกรองที่เกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5.จัดกำลังพลเรือน ตำรวจ และทหาร ดำเนินการตามแผนรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ และสถานที่สำคัญต่างๆ รวมทั้งประสานให้ส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ ที่เป็นเจ้าของสถานที่นั้นๆ ดำเนินการป้องกันตนเองตามความสามารถเป็นอันดับแรก 6.มอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนกำลังพล งบประมาณ วัสดุ ครุภัณฑ์ ยานพาหนะและเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน 7.เรียกให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง เข้าประชุมชี้แจง ให้ข้อมูลข่าวสารหรือจัดส่งเอกสารหรือดำเนินการอื่นใดตามแต่เห็นสมควร 8.แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาหรือเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตามความจำเป็น 9.ดำเนินการอื่นๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีและ ครม.มอบหมาย โดยนายสมัคร ลงนามในคำสั่งวันที่ 4 กันยายน 2551ม็อบ2
"สมัคร"ริบอำนาจรมต.-กำกม.20ฉบับ
พล.ต.ท.วิเชียรโชติกล่าวว่า นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติให้อำนาจนายกรัฐมนตรี ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดย ครม. มีมติโอนอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมายมาเป็นของนายกรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชา หรือช่วยในการแก้ไขปราบปราม ระงับยับยั้งสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือช่วยเหลือประชาชนในเขตท้องที่ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งหมด 20 ฉบับ ตามที่อยู่ในอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ คือ 1.พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 2.พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2493 3.พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 4.พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 5.พ.ร.บ.ควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ.2495 6.พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2520 7.พ.ร.บ.ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2522 8.พ.ร.บ.ควบคุมอาหาร พ.ศ.2522 9.พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณา โดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ.2493 10.พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535
นายกฯยึดอำนาจเคลื่อนย้ายทหาร
11.พ.ร.บ.การจราจรทางบก พ.ศ.2522 12.พ.ร.บ.การสุรา พ.ศ.2493 13.พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 14.พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 15.พ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.2485 16.พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 17.พ.ร.บ.การเนรเทศ พ.ศ.2499 18.ประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ เฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับมูลนิธิและสมาคม 19.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจสืบสวนและสอบสวน และการใช้อำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ 20.ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการใช้กำลังทหาร การเคลื่อนกำลังทหารและการเตรียมพร้อม พ.ศ.2545 โดยนายสมัครลงนามในประกาศวันที่ 4 กันยายน 2551
นักกฎหมายมหาชนรายหนึ่งระบุว่า การที่ ครม.ได้ออกประกาศโอนอำนาจกฎหมาย 20 ฉบับของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงมาอยู่ในมือนายสมัคร โดยเฉพาะกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการใช้กำลังทหาร และการเคลื่อนกำลังทหาร เท่ากับดึงอำนาจการสั่งเคลื่อนย้ายทหารจากผู้บัญชการแต่ละเหล่าทัพมาเป็นของนายกฯ จากเดิมที่หากนายสมัครในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะเคลื่อนย้ายกำลังทหาร จะต้องได้รับคำแนะนำจาก ผบ.เหล่าทัพก่อน หรือการดึงอำนาจตามกฎหมายประมวลแพ่งและพาณิชย์ เฉพาะบทบัญญัติเกี่ยวกับมูลนิธิและสมาคม จะทำให้นายกฯสามารถตรวจสอบและเพิกถอนมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมได้ เช่น มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
"ถ้านายสมัครมีอำนาจในการสั่งเคลื่อนย้ายกำลังทหาร เท่ากับนายสมัครต้องการเล่นแรงกับ ผบ.เหล่าทัพและผู้ชุมนุม หรืออาจเป็นเพียงการขู่เท่านั้น" แหล่งข่าวระบุ
มทภ.1ชี้กอฉ.หาช่องกม.แก้ปัญหา
พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) ว่า เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมีการรวมเจ้าหน้าที่จากทุกกระทรวง ทบวง กรม โดยเฉพาะด้านกฎหมาย เพราะการทำงานจะทำให้เกิดความรอบคอบถูกต้อง ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนแค่ 3 คน ที่จะให้แก้ปัญหาคงเป็นไปไม่ได้ แต่จะเน้นการไม่ใช้ความรุนแรง และทำอย่างไรเพื่อให้คนไทยกระทบกระทั่งกันน้อยที่สุด ต้องให้คณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่ร่วมกันแก้ปัญหา ต้องยอมรับว่า เงื่อนไขผ่านมา 3 เดือนแล้ว ต้องทำให้เงื่อนไขลดลง กฎหมายมีอยู่ และทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ผิดกฎหมาย แต่เมื่อไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ทำตามกฎหมายจึงต้องหาวิธีการดำเนินการ
เมื่อถามว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เสนอให้นายกฯแต่งตั้งกองอำนวยการนี้ขึ้นมาใช่หรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นแนวคิดตั้งแต่แรกเพื่อให้ทุกหน่วยงานมีส่วนร่วมมากขึ้น ใช้กำลังอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีทีมกฎหมายมาดูว่าจะทำอย่างไรในการบังคับใช้กฎหมาย และเมื่อต้องใช้ความรุนแรงก็ต้องมาดูว่า เจ้าหน้าที่จะทำตามกฎหมายและกติกาที่มีอยู่อย่างไร
สรส.เสียงแตก-เลิกพบ"อนุพงษ์"
วันเดียวกัน เวลา 14.00 น. พล.อ.อนุพงษ์ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้เรียกประชุมคณะทำงานแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานด้านความมั่นคงและส่วนราชการต่างๆ เข้าร่วมหารือรวม 20 องค์กร อาทิ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะรองหัวหน้ารับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์
รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้ ในเวลา 15.00 น. พล.อ.อนุพงษ์ได้เชิญแกนนำสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) มาร่วมหารือ เพื่อหาทางออกปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น หลังจากที่ สรส.ได้นัดหยุดงาน และขู่ตัดน้ำตัดไฟ สถานที่ราชการสำคัญหลายแห่ง แต่ภายหลังแกนนำ สรส.แจ้งขอยกเลิกการเข้าหารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ โดยอ้างว่าไม่พร้อม เนื่องมาจากแกนนำมีความเห็นที่แตกต่างกัน
ทหารให้ตร.จัดการคนผิดกม.
พล.ท.ประยุทธ์กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินว่า คณะกรรมการได้หารือเพื่อกำหนดแนวทางการทำงานโดยยังยืนยันที่จะไม่ใช้ความรุนแรงแต่จะเน้นการเจรจาเป็นหลัก โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการที่จะแจ้งกับผู้ที่กระทำผิดข้อห้ามที่มีอยู่ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อให้ทราบว่ามีการดำเนินการผิดกฎหมายข้อใดบ้าง
"ปัญหาขณะนี้ คือ การบังคับใช้กฎหมายที่กลุ่มพันธมิตรไม่ยอมรับ ซึ่งเจ้าหน้าที่คงเลี่ยงปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้ แต่อาจจะมีมาตรการจากเบาไปหาหนัก ทุกคนทราบดีว่าเขาอยากให้เราใช้กำลังดำเนินการ แต่เจ้าหน้าที่ทำไม่ได้ เพราะหากเกิดการล้มตายแล้วจะทำอย่างไร จึงน่าจะมีแนวทางที่ดีกว่านี้ ควรมีการพูดคุยกันและใช้แนวทางสันติ อยากให้ให้ทุกฝ่ายลดเงื่อนไขลงบ้าง และประชาชนต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ คิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ระวังแต่ผู้ชุมนุม ต้องรักษาสิทธิคนอื่นที่ไม่มาประท้วง แต่เกิดผลกระทบ ดังนั้น การใช้ พ.ร.ก.ต้องนึกถึงคนเหล่านั้นด้วย" พล.ท.ประยุทธ์กล่าว
ยันคนทำผิดต้องถูกดำเนินคดี
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีพอใจการทำงานของคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า นายกฯเข้าใจและพูดคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์ตลอด ทั้งนี้ การทำงานของเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความสุขุม เพื่อไม่ให้เกิดความุรนแรง อย่าสร้างความกดดันกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งขอระยะเวลาดำเนินการตามขั้นตอน ขอความร่วมมือทุกฝ่ายทั้งพันธมิตร ฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายที่อยู่ตรงกลางต้องช่วยกัน เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน เพื่อประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
เมื่อถามว่า นายกฯมีความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ต่อหรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่นายกฯได้ทำหน้าที่และมอบอำนาจให้เราดูแล เราก็ทำ แต่ไม่ให้เกิดความรุนแรงเท่านั้น ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมายคนไม่ปฏิบัติตาม เมื่อเอาไปใช้ก็เกิดปัญหา ซึ่งคนที่ทำผิดอยู่เวลานี้ ยังคงมีความผิดตามกฎหมายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะจบอย่างไร คนที่มีความผิดต้องถูกดำเนินคดี
เมื่อถามว่า สถานการณ์ยังไม่มั่นคงเกรงว่าทหารจะก่อรัฐประหารอีกครั้ง พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า "ไม่มี อย่าถามเรื่องปฏิวัติ ควรถามว่าบ้านเมืองจะไปอย่างไร เราจะช่วยกันอย่างไร ขณะนี้ทหารมีเพียงเตรียมกำลังอยู่ในหน่วยที่ตั้ง เพื่อดูแลสถานการณ์หากมีการเคลื่อนมวลชนมาปะทะกัน ทหารก็จะเข้าห้ามปราม ทั้งนี้ อย่าเอาเวลามาเป็นเงื่อนไข พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีกำหนดเวลา 3 เดือน ไม่ได้กำหนดว่าเสร็จเมื่อไหร่ หากไม่เสร็จก็ต่อไปอีกได้ แต่หากสถานการณ์เรียบร้อยอาจยกเลิกก่อนได้" พล.ท.ประยุทธ์กล่าว
เผย "อนุพงษ์" กังวลสถานการณ์ชุมนุม
ก่อนหน้าการประชุม พล.ท.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.กังวลว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยโดยเร็ว โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ และเจ้าหน้าที่ไม่ถูกมองว่าใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เรามีประวัติศาสตร์อยู่แล้วว่า การใช้ความรุนแรงไม่เกิดผลดี เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นคนไทยต่างมีเงื่อนไขของตัวเอง ถ้าไม่ลดราวาศอกกันและกัน ไม่ว่าจะมีกฎหมายใดก็แก้ไขไม่ได้ จะมุ่งไปสู่ความรุนแรง
"ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก เราจะไม่เข้าไปรบกวนในกิจวัตรจำเป็นของประชาชน ข้อห้ามหลายประการเรายังไม่มีความจำเป็นต้องใช้อย่างเด็ดขาด เช่น การชุมนุม หรือ มั่วสุมเกิน 5 คน ถ้าเป็นการดำเนินการตามชีวิตประจำวัน ไม่ได้ไปมั่วสุมทำให้เกิดการแตกแยก เราคงไม่ไปรบกวน ปัจจุบันมีอยู่ 2 กลุ่ม ที่เกิดปัญหาเราพยายามแก้ปัญหาอยู่ แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติได้ ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำอะไรเลย หลังจากที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาเราประชุมทั้งเจ้าหน้าที่พลเรือน ตำรวจ ทหาร ว่าจะทำอย่างไร จึงเอามาตรการมาใช้ในเวลาที่เหมาะสม ไม่ได้หมายความว่า กฎหมายทั้งหมดที่มีอยู่จะนำมาใช้ทั้งหมด เพราะจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่เกิดผลดี วิธีแก้ปัญหาคือ ไม่ใช้การไล่ปราบปราม ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทำความเข้าใจกับประชาชนว่า อย่ามาชุมนุมเพิ่มขึ้นอีก เราพยายามทำด้วยวิธีละมุนละม่อม" พล.ท.ประยุทธ์กล่าว
"อนุพงษ์"ให้ตร.เจรจาม็อบสกัดเข้ากรุง
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รองผบช.ก.) ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตำรวจและฝ่ายทหารมีหน้าที่ร่วมกันในการรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย โดยจะไม่ใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชนอย่างเด็ดขาด โดยทหารได้จัดกำลังไว้ในที่ตั้งเพื่อคอยสนับสนุนการทำงานของตำรวจในกรณีที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงเท่านั้น ส่วนการสั่งการนั้น ผบช.น.จะประสานงานโดยตรงกับแม่ทัพภาค ที่ 1 ตลอดเวลา
"จากการหารือร่วมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ สรุปว่า ตำรวจยังมีหน้าที่สร้างความเข้าใจกับประชาชนในประเทศให้ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เดินทางเข้ามาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ตำรวจยังต้องมีบทบาทในเรื่องของการเจรจา และการใช้กลไกกฎหมาย โดยไม่ใช้กำลังในการปฏิบัติกับทุกฝ่าย" โฆษก ตร.กล่าว
อ้างอึดอัดใจถูกเป็นจำเลยสังคม
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ตำรวจเองทราบดีว่าผู้ต้องหาทั้ง 9 คน ปรากฏตัวให้เห็นอยู่ในทำเนียบแต่ตำรวจไม่ได้ดำเนินการจับกุม ไม่กลัวหรือที่จะถูกว่าตำรวจเลือกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พล.ต.ต.สุรพลกล่าวว่า หากตำรวจเข้าไปจับกุมแล้วเกิดเหตุปะทะกันขึ้นจนเสียเลือดเนื้อ สถานการณ์ก็จะยิ่งปานปลาย อีกทั้งหมายจับมีอายุความถึง 20 ปี
"ตอนนี้ตำรวจถูกกดดันจากองค์กรต่างๆ อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเต็มที่ อุปกรณ์ที่ใช้ปราบจลาจลก็ไม่สามารถใช้ได้ตามหลักสากล จึงไม่สามารถรักษาสถานที่อย่างทำเนียบรัฐบาลเอาไว้ได้ ตอนนี้กลุ่มผู้ชุมนุมล้ำเส้น แต่ไม่รู้ว่าเส้นแบ่งมันอยู่ตรงไหน ต่อไปคงต้องมาคุยกันว่าตำรวจสามารถทำอะไรได้แค่ไหน เพื่อให้เกิดการยอมรับได้จากทุกฝ่าย และไม่ต้องตกเป็นจำเลยสังคม" พล.ต.ต.สุรพลกล่าว และยอมรับว่าตำรวจอึดอัดใจที่ไม่สามารถทำตามขั้นตอนต่างๆ ได้ ถ้าทำแล้วเกิดการปะทะก็ตกเป็นจำเลยของสังคม จึงไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อกติกาของสังคมไม่ยอมรับ
วันเดียวกัน พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้านครบาล (ศปก.น.) มีบันทึกด่วนที่สุด ลงวันที่ 3 กันยายน ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และรอง ผบ.ตร.เพื่อโปรดทราบ ด้วยขณะนี้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในเขตพื้นที่ กทม. ประกอบกับมีการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน เพื่อให้การประสานงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพ จึงให้ พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น. เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ประสานงานกับกองทัพภาคที่ 1 และมอบหมายให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่นายตำรวจประสานงานประจำกองทัพภาคที่ 1 ได้แก่ พ.ต.ท.ถาวร สมศักดิ์ รอง ผกก.กก.1 บก.จร. พ.ต.ท.ศักดิ์รินทร์ ตันติภัณฑรักษ์ รอง ผกก.ฝอ.1 บก.อก.บช.น. พ.ต.ท.ปรีดา สถาวร รอง ผกก.ฝอ.1 บก.อก.บช.น. พ.ต.ท.สรรค์พิสิฐ แย้มเกสร รอง ผกก.1 บก.ตปพ. และ พ.ต.ท.ชุมวร ชมะทัต รอง ผก.ฝอ.7 บก.อก.บช.น. ทั้งนี้ ให้นายตำรวจประสานงานดังกล่าวเข้าร่วมประชุมกองทัพภาคที่ 1 ทุกวัน เวลา 17.00 น. และเข้าร่วมประชุมสรุปสถานการณ์ในส่วนของ บช.น.ในแต่ละวัน

ขอขอบคุณ http://www.matichon.co.th
โดย นาย วีรพงศ์ พุทธสอน
ID: 5131601494
section: 2
school of law