2551/09/06

ดันทุรัง ชาติบรรลัย

พังไปทั้งระบบ !!! ปั่นป่วนไปทั้งแผ่นดิน !!!
“วิกฤติชาติ” ครั้งนี้ ถือว่าหนักหนาสาหัส-สากรรจ์ยิ่งนัก ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เป็น “วิกฤติชาติ” หนักหนาสาหัส-สากรรจ์ ที่ 3 สถาบันหลักชาติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และ ฝ่ายตุลาการ ไม่อาจเป็น “กลไก” ขับเคลื่อนประเทศชาติได้อย่างเป็นปกติ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี หมดสภาพ หมดความชอบธรรม ในฐานะ “ผู้นำประเทศ” อย่างสิ้นเชิง เป็นการ “หมดความชอบธรรม” อย่างสิ้นเชิง ที่ถูกสังคมทุกภาคส่วนออกมาขับไล่ทั่วทั้งแผ่นดินทุกภาคส่วนที่ออกมาขับไล่ และขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น อธิการบดีหลายมหาวิทยาลัย คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต-นักศึกษา ภาคธุรกิจ สภาทนายความ วุฒิสภา ฝ่ายค้าน องค์กรภาควิชาชีพ องค์กรภาคเอกชน ฯลฯ ทุกภาคส่วนที่เห็นสอดคล้องในทิศทางเดียวกัน คือการแสดงจุดยืนให้ นายกรัฐมนตรี ลาออกหรือยุบสภา
ทว่า ความดื้อด้านของนายสมัคร ที่ประกาศไม่ยุบสภา ไม่ลาออก
ยืนยันเป็นรัฐบาลที่มาถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้ทำผิดอะไร และขออยู่ในตำแหน่งเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย
ยิ่งเป็นเงื่อนไขทำให้ “วิกฤติชาติ” ทรุดหนักยิ่งขึ้น
เป็นความ “ดันทุรัง” โดยไม่ฟังกระแสสังคม อย่างไร้ภาวะของ “นักปกครอง”
คำประกาศของนายสมัคร เช่นว่านี้ ได้สะท้อนถึงสภาวะ “ผู้นำ” ที่เสพติดอำนาจ จนมองไม่เห็นความฉิบหาย ป่นปี้ของประเทศชาติ
สะท้อนถึงสภาวะ “ผู้นำ” ที่หลงกิเลส-ตัณหาแห่งอำนาจ จนแยกไม่ออกระหว่าง “ความชอบธรรม” กับ “ไม่ชอบธรรม”
ยิ่งนายสมัคร พยายามตะแบง เทียบเคียงหากให้มีการเลือกตั้งใหม่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ชนะเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล และมีกลุ่มคนออกมาชุมนุมขับไล่ จะทำอย่างไร
ยิ่งนายสมัครตะแบง ยิ่งสะท้อนความเข้าใจ “ระบอบประชาธิปไตย” เพียงแค่ “เปลือก”
สะท้อนเป็นเพียง “นักเลือกตั้ง” ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้ปกครอง”
นายสมัครอาจ “มืด-บอด-ใบ้” ในระบอบประชาธิปไตย ไม่เข้าใจการที่ “ประชาชน” ออกมาขับไล่ “ผู้ปกครอง”
ในระนาบเดียวกันทั้งประเทศ ได้อย่าง “ชอบธรรม” ไม่ใช่เรื่องทำกันได้ง่ายๆ
การขับไล่ที่ “ไม่ชอบธรรม” ต่างหาก ที่เป็นเรื่องยากที่จะออกมาขับไล่ “ผู้ปกครองที่ชอบธรรม” ให้ลงจากอำนาจไปได้
หากนายสมัคร ลดโมหะ ลดทิฐิ ละวางการเอาชนะคะคาน และนั่งส่องกระจกสำรวจตัวเองบ้าง
อาจมองเห็นความแตกต่างระหว่าง “ความชอบธรรม” กับ “ไม่ชอบธรรม”

นายสมัครต้องกลับไปสำรวจ “เงื่อนไข” ที่ทำให้ตัวเอง “หมดความชอบธรรม”
- เริ่มตั้งแต่ออกมายอมรับเป็น “นอมินี” เป็น “หุ่นเชิด” ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็น “อาชญากรแผ่นดิน”
- การแต่งตั้งบุคคลภาพลักษณ์ไม่ดี ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เข้าดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรี” ภายใต้ระบบโควตา กลุ่ม
-ก๊วนการเมือง อย่างท้าทายสังคม- แต่งตั้ง นายไชยา สะสมทรัพย์ ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมชนชั้น “ผู้ปกครอง” กลับเข้ามาเป็น “รัฐมนตรี” ทันทีทันใด อย่างท้าทายสังคม ทั้งที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง ในความผิดไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน
- แต่งตั้ง อดีตแกนนำ นปก. เข้ามาเป็น “รัฐมนตรี” และมีบทบาททางการเมือง ทั้งที่มีพฤติกรรมจาบจ้วง “องคมนตรี” เป็นเรื่องที่สวนกระแสความรู้สึกสังคม- มีพฤติกรรมปลิ้นปล้อน กลับกลอก พยายามแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อหนีคดียุบพรรค เพื่อล้มกระบวนการตรวจสอบทุจริตของทักษิณ
- มีพฤติกรรมขายชาติ “เขาพระวิหาร” แม้แต่มติ ครม.ที่เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เรื่องสำคัญประเทศชาติ กลับไม่มีการเปิดเผยมติ ครม. เสมือน ครม.เป็นซ่องโจร ไม่ใช่สถานะฝ่ายบริหาร
- มีพฤติกรรมคุกคามสื่อ คุกคามประชาชน บ่อยครั้งและอย่างต่อเนื่อง
- แสดงความไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์ ใช้วาจาหยาบคาย ต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง- ขาดวุฒิภาวะผู้นำ ที่แสดงอารมณ์ไม่อยู่กะร่องกะรอย เดี๋ยวดี-เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวร้องเพลง
-เดี๋ยวตาขวาง เดี๋ยวแตกหัก
-เดี๋ยวนุ่มนวล เดี๋ยวประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
-เดี๋ยวเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
- ใช้อำนาจรัฐปกป้อง นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างไม่สนใจกระแสเรียกร้องสังคม
- มีพฤติกรรมชอบแอบอ้าง “เบื้องสูง” อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นเครื่องมือในการดำรงสถานะรัฐบาล โดยเฉพาะการกล่าวถึง “เบื้องสูง” ว่า “เจ้านาย” เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
- มีพฤติกรรมที่แสวงหาผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะอาการลุกลี้ลุกลน การผลักดันโครงการเมกะโปรเจกต์หลายโครงการหลายแสนล้านบาท
- ใช้อำนาจรัฐแทรกแซง ทีวี NBT เป็นเครื่องมือบิดเบือนข่าวสาร เป็นกระบอกเสียงรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว
- ใช้อำนาจรัฐทำลายฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกันกลับใช้อำนาจรัฐปกป้องพรรคพวกตัวเองฯลฯพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลทั้งหมดนี้ เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่านายสมัคร “หมดความชอบธรรม” ในฐานะผู้ปกครองอย่างสิ้นเชิง

แม้นายสมัคร มีความพยายามใช้กระบวนการศาลมาช่วยแก้ปัญหา ทว่าเป็นเพียงการยืมมือศาลมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
แม้นายสมัคร มีความพยายามใช้กระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติมาช่วยแก้ปัญหา ทว่าเป็นเพียงการยืมมือสภาฯ มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อฟอกตัวรัฐบาล
แม้นายสมัคร มีความพยายามผลักดันทำ “ประชามติ” ทว่าเป็นเพียง เกม-ซื้อเวลา เพื่อเยื้ออยู่ในอำนาจรัฐ
แม้นายสมัคร มีความพยายามใช้ “กองทัพ” มาช่วยคลี่คลายปัญหา ทว่าเป็นการปัดภาระความรับผิดชอบไปให้ทหาร

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน โดยที่เนื้อแท้ของปัญหายังดำรงอยู่
เป็นเพียงการยืมมือ “ศาล-สภาฯ-กองทัพ” เป็นเครื่องมือ “ฟอกตัวผู้นำ” ที่ไม่อาจฟื้นความชอบธรรมขึ้นมาได้
กุญแจดอกสำคัญ “ดอกเดียว” ในการแก้ “วิกฤติชาติ” เวลานี้
อยู่ที่ตัว นายสมัคร สุนทรเวชเป็น “กุญแจดอกเดียว” ที่จะไขไปสู่ “ทางออก” และหยุดยั้งความเสียหายของประเทศชาติเวลานี้
ทางออกที่ว่าคือ ยุบสภา หรือ ลาออก
นายสมัคร ต้องรีบตัดสินใจ บนความรับผิดชอบในฐานะ “ผู้ปกครอง” ก่อนที่ประเทศชาติจะฉิบหาย-บรรลัยไปมากกว่านี้
ที่มา : http://www.banmuang.co.th/POLITIC.ASP?id=150564
โดย : นางสาว อนัญญา สืบสิน
ID. 5131601570 Section. 02

"อัมรินทร์"ยกประวัติอิสราเอลเตือนสติผู้นำนึกถึงประโยชน์ชาติ

"อมรินทร์ คอมันตร์"ยกกรณีศึกษาประเทศอิสราเอล สร้างชาติใหม่ได้ เพราะผู้นำปกป้องผลประโยชน์คนในชาติ ผิดกับรัฐบาลไทย ที่ปล่อยให้ประชาชนลอยเคว้ง เอาแต่หาผลประโยชน์ใส่ตัว ย้ำร่วมต่อสู้ขับไล่รัฐบาลชั่ว เพื่อพี่น้องไทย มีแผ่นดินอยู่ต่อไปอีก 2,000 ปี วันนี้ (6ก.ย.) เวลาประมาณ 20.20 น. ดร.อัมรินทร์ คอมันตร์ นักธุรกิจระหว่างประเทศ กล่าวบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้เดินทางไปทำธุรกิจในประเทศอิสราเอล ซึ่งประเทศนี้ เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน มีผู้บริหารประเทศ นักการเมือง และผู้นำทำร้ายประเทศชาติ จนทำให้อิสราเอลไม่มีประเทศมาเป็นระยะเวลากว่า 2,000 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่คนอิสราเอล ต่างเร่ร่อนไปอยู่ในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย และไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ก็ถูกข่มเหงมาตลอด โดยเฉพาะในยุโรป เพราะมีผู้บริหารโกงชาติแผ่นดินทำร้ายประชาชน แต่หลังจากนั้น ก็สามารถตั้งชาติได้เมื่อ 60 ปีที่ผ่านมานี่เอง โดยมีประชาชนประมาณ 7 ล้านคนที่สามารถอยู่ได้ท่ามกลางผู้ไม่เป็นมิตรถึง 200 ล้านคน ซึ่งการที่เขาอยู่ได้ เพราะมีความเป็นชาตินิยม ทั้งประชาชน ผู้บริหารประเทศมีความผูกพันต่อประเทศชาติและแผ่นดิน โดยเขาปกป้องผลประโยชน์คนในชาติ ไม่ให้ธุรกิจจากต่างชาติเข้าในประเทศ นอกจากนั้น ยังปกป้องเกษตรกรไม่ให้สินค้าเกษตรจากต่างประเทศเข้าประเทศ รวมถึงร้านอาหารต่างชาติที่เข้าไปก็ไม่ให้คนต่างชาติเป็นหัวหน้ากุ๊ก ซึ่งทุกอย่างที่เขาทำล้วนปกป้องคนในชาติเขาทั้งนั้น "ผมมีโอกาสได้นั่งแทกซี่ คนขับบอกว่า ลูกของเขาเป็นกงสุลอยู่ที่อเมริกา และเขาเองก็ไปรบในสงครามมา 5 ครั้ง และเขาเคยมาเที่ยวไทย 2 ครั้งด้วย ซึ่งการเดินทางมาของเขาก็มาด้วยเครื่องบินมีระดับ และไปเที่ยวตั้งแต่เหนือจรดใต้ ซึ่งมาจากชีวิตของเขาที่มีความอยู่ดีกินดี"ดร.อัมรินทร์กล่าว ดร.อัมรินทร์กล่าวต่อว่า สิ่งที่พูดไปทั้งหมด คือความอยู่ดีกินดีที่ประชาชนเราต้องการ ประเทศชาติอยู่ดี และต้องมีรัฐบาลที่อยู่เคียงข้างประชาชน รัฐบาลที่รักสถาบัน การที่เรามาวันนี้ เพราะเรานึกถึงวันต่อไปข้างหน้า วันที่เราต้องการรัฐบาลที่ยืนอยู่ข้างประเทศ ประชาชน สถาบัน และปกป้องคนไทยให้มีกินมีใช้ และเอารัฐวิสาหกิจกลับคืนมาเป็นของรัฐ เอาแผ่นดินกับมาเป็นของไทย ให้คนไทยมีแผ่นดินอยู่ทุกคน ถ้าเราไม่สู้ และไม่เสียสละ เราก็จะไม่มีวันได้อะไรขึ้นมา ถ้าดวงวิญญาณของวีระบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระสุริโยทัย พระเจ้าตากสิน รวมถึงทหารหาญทั้งหลาย ที่เสียสละเพื่อเราให้เราประเทศไทยในวันนี้ ดังนั้น วันนี้ จึงเป็นวันที่เราร่วมใจกันรักษาประเทศเรา เพื่อคนไทยได้อยู่ไปอีก 2,000 ปี
โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล ID:5131601506 Major : Law