2551/09/04

น่ารักดีนะ

หลบหลีกเรื่องการเมืองซักพัก มาคลายเครียดด้วยภาพน่ารักๆกันมั้งดีกว่านะ

















อึ้ง!รมต.หญิงฝรั่งเศสตั้งท้อง

อึ้ง!รมต.หญิงฝรั่งเศสตั้งท้อง เมินบอกสื่อใครพ่อเด็กรัฐมนตรียุติธรรมฝรั่งเศสฉาว ตั้งท้องไม่บอกสาธารณชนและสื่อใครเป็นพ่อเด็ก เผยทำชอบตัวขึ้นปกนิตยสารเป็นคนดังมากกว่าทำหน้าที่ราชการแผ่นดิน
P { margin: 0px; }
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ว่า นางราชิด้า ดาตี วัย 42 ปี รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ฝรั่งเศส ตกเป็นข่าวอื้อฉาวหลังจากตั้งครรภ์ โดยที่เธอปฎิเสธที่จะให้เปิดเผยแก่สื่อมวลชนว่า ใครเป็นพ่อของเด็ก อ้างว่าเป็นชีวตส่วนตัวของเธอค่อนข้างซับซ้อน และเธอจะจำกัดชีวิตส่วนตัวกับสื่อ โดยจะไม่พูดอะไรในเรื่องนี้ พร้อมทั้งยืนยันว่า เธอจะดำรงตำแหน่งต่อไปโดยไม่ลาออก เพราะการตั้งท้องไม่ใช่โรคร้าย

รายงานระบุว่า ก่อนหน้านี้ นางดาตี ถือเป็นหน้าตาที่แปลกใหม่ของครม.ของประธานาธิบดีนิโกลาร์ ซาร์โกซี ผู้นำฝรั่งเศส ซี่งต้องการเพิ่มรัฐมนตรีที่หลากหลายให้แก่ฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม เธอถูกวิจารณ์ว่า ชอบทำตัวขึ้นปกนิตยสาร โดยหวังจะเป็นคนดัง มากกว่าที่จะปฎิบัติราชการด้านกระทรวงยุติธรรมเสียอีก
ที่มา
มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/
โดยนายศรัณยู บุญประจง ID 5131601500section 02
สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ตะลึง!แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือเท่า"แมนฮัตตัน"แตกตัว

ตะลึง!แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือเท่า"แมนฮัตตัน"แตกตัวระทึก!เผยแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่เท่าเมืองแมนฮัตตันแตกตัวจากขั้วโลกเหนือ บ่งชี้ภาวะโลกร้อนส่วนแผ่นน้ำแข็งใหญ่อีกสองยังหดตัวลงด้วย
P { margin: 0px; }
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเดเร็ก มูลเล่อร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นนำแข็งอาร์คติก ประจำมหาวิทยาลัยเทรนต์ ในเมืองออนตาริโอ เปิดเผยว่า แผ่นน้ำแข็ง"มาร์คแฮม"ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าเมืองแมนฮัตตัน หรือขนาด 19 ตร.ไมล์ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแคนาดา ได้แตกตัวออกไปเมื่อเดือนส.ค.และถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจครั้งใหม่เพราะแผ่นน้ำแข็งดังกล่าวเกิดหายไปอย่างฉับพลัน และเน้นให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในขั้วโลกเหนือ

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญรายนี้เผยด้วยว่า น้ำแข็งใหญ่อีก 2 แผ่นยังแตกตัวจากแผ่นน้ำแข็งเซอร์ซัน ไอซ์ ชีฟ จากการหดตัวลงเหลือเพียง 47 ตร.ไมล์ หรือลดตัวลง 60 % ขณะที่แผ่นน้ำแข็งวาร์ด ฮันท์ ไอซ์ เชฟ ก็ยังคงแตกตัว และเริ่มสูญเสียพื้นที่ขยายแผ่นดินน้ำแข็งจำนวน 8 ตร.ไมล์

ที่มา
มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/
โดยนายศรัณยู บุญประจง ID 5131601500
02 สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ผลสำรวจ ชี้ เด็กไทยมีโอกาสศึกษาสูงขึ้น เด็กเรียนปริญญาเพิ่ม แต่มีปัญหาเรื่องคุณภาพ

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายวิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในการสัมมนาเรื่อง "โครงการสภาวะการศึกษาไทย" ปี 2550/2551 จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ณ โรงแรมมิราเคิล กรุงเทพฯ ว่า ตนได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “สภาวะการศึกษาไทย ปี 2550/2551 ปัญหาความเสมอภาคและคุณภาพของการศึกษาไทย” เพื่อนำเสนอต่อสำนักวิจัยและพัฒนาการศึกษา สกศ.ซึ่งผลการศึกษาพบว่า จากสถิติและข้อมูลประมาณการที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รวบรวม การจัดการศึกษาในช่วงปีการศึกษา 2549-2551 สะท้อนว่า โดยภาพรวมการศึกษายังมีปัญหาทั้งปริมาณและคุณภาพ แม้จะพบว่า ประชากรในวัยเรียน 3 - 17 ปี มีโอกาสได้รับการศึกษาเป็นสัดส่วนต่อประชากรสูงขึ้นจาก 85.3%1 ในปีการศึกษา2549 เป็น 88.77% ในปี 2551 แต่ก็ยังพบว่าประชากรในวัย3 - 17 ปีไม่ได้เรียนในปีการศึกษา2551 สูงถึง 1.6 ล้านคนหรือ 11.23 %ของประชากรวัยเดียวกัน ทั้งที่กฎหมายกำหนดให้รัฐบาลจัดการศึกษาภาคบังคับแก่ประชาชน 9 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีเด็กไม่ได้เข้าเรียนและออกกลางคันไม่ได้เรียนต่อในช่วงชั้นต่างๆมากโดยจากข้อมูลออกกลางคันปี 2550 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)พบว่ามีนักเรียนออกกลางคันในทุกระดับชั้นรวม 1.19 แสนคนหรือ 1.4 % นายวิทยากร กล่าวต่อว่าในส่วนของอุดมศึกษาจำนวนนักศึกษาในปี 2549 - 2550 ประมาณ 2.4 ล้านคนเรียนจบปีละ 2.7 แสนคนว่างงานปีละ 1 แสนโดยนักศึกษาระดับปริญญาโทจำนวน1.8 แสนคนและปริญญาเอกจำนวน 16,305 คน ซึ่งจุดนี้ทำให้ผู้เรียนในระดับต่ำกว่าปริญญาตรีในปี 2550 มีจำนวนลดลงเพราะสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่จะขยายการเรียนระดับปริญญาตรีและสูงกว่ามากขึ้นเนื่องจากคนนิยมเรียนให้ได้ปริญญาเพิ่ม ทั้งนี้สำหรับประเด็นปัญหาการพัฒนาคุณภาพในการจัดการศึกษานั้นจากการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันกับประเทศต่างๆ อันดับของไทยมีแนวโน้มต่ำลงมาตลอด ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวฉุดก็คือปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการศึกษาและการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้จากการประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)ที่ผ่านมานอกจากมาตรฐานการศึกษาที่มีปัญหาแล้วในส่วนของมาตรฐานครู ในด้านความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญยังพบว่าสถานศึกษามีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 34.2 หรืออยู่ในเกณฑ์ต้องปรับปรุง“ในอนาคตจำนวนประชากรไทยจะเพิ่มอย่างช้า ๆ แต่โครงสร้างอายุจะเปลี่ยนไป คือมีผู้สูงอายุเกิน 60 ปีเป็นสัดส่วนสูงขึ้น มีสัดส่วนคนวัยทำงานและวัยเด็กจะลดลง ในขณะที่เศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมโลกจะมีปัญหามากขึ้น จึงต้องจัดการศึกษาแบบเน้นคุณภาพ เข้าใจปัญหาและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งจัดการศึกษาและจัดกิจกรรมให้ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุให้เรียนรู้ใหม่ปรับตัวใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค” นายวิทยากร กล่าวและว่า สำหรับแนวทางการปฏิรูปการศึกษามีหลายเรื่องที่อยากจะเสนอศธ. อาทิ ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารการศึกษาแบบลดขนาดและบทบาทของการบริหารแบบรวมศูนย์อยู่ที่รัฐมนตรีวาการกระทรวงศึกษา และส่วนกลางลง ,กระจายอำนาจให้มีการบริหารแบบใช้ปัญญารวมหมู่, ปฏิรูปการจัดสรรและการใช้งบประมาณให้เป็นธรรม มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ,ปฏิรูปด้านคุณภาพประสิทธิภาพและคุณธรรมของครูอาจารย์อย่างจริงจังเปลี่ยนแปลงวิธีการวัดผลสอบแข่งขันและการคัดเลือกคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ จากการสอบปรนัยที่เน้นคำตอบสำเร็จรูปไปเน้นการวัดการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง ที่สะท้อนความรู้ความสามารถอย่างเป็นองค์รวม นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญจะต้องปฏิวัติการศึกษาให้เกิดความเสมอภาคโดยเฉพาะต้องทุ่มงบประมาณกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ไม่ใช่ไปทุ่มงบประมาณกับโครงการเมกะโปรเจคท์ การพัฒนาเด็กปฐมวัยจะทำให้เด็กฉลาด เมื่อเรียนในระดับสูงขึ้น เช่น ประถมศึกษา มัธยมจะมีคุณภาพ นายไพฑูรย์ สินลารัตน์ อดีตคณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า เป้าหมายการจัดการศึกษาของไทยทั้งด้านคุณภาพและการพัฒนายังกระจัดกระจาย แต่ละหน่วยงานแต่ละฝ่ายต่างมุ่งพัฒนาเด็กไปตามเป้าหมายของตัวเอง ทำให้เด็กที่จบมาตั้งแต่ระดับประถมจนถึงปริญญาตรีมีปัญหาด้านคุณภาพ เมื่อจบปริญญาตรีไม่ได้คุณภาพก็ไปเรียนต่อปริญญาโท เมื่อจบปริญญาโทไม่ได้คุณภาพก็ไปเรียนต่อปริญญาเอก ทำให้การศึกษาไทยเดินไปสู่ความไม่เอาไหน อย่างเด็กบางคนเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยเขียนคำว่าแพทย์ และคำว่าสร้างสรรค์ไม่ถูกเลยอาจเป็นผลมาจาการเรียนในระดับมัธยมศึกษาดูแล้วก็น่าเป็นห่วงแทน
โดย นางสาวธิติมา ถนอมรอด
ID.5131601352 Section 02

ถึงเวลาใช้กรรม

มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวผม หลังจากมีความเคลื่อนไหวของฝ่ายภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ตอนนี้ไปทางไหนมีแต่คนตื่นตัวเรื่องข่าว สารของบ้านเมือง ส่วนใหญ่จะถามว่า “ตกลงบ้านเมืองเราจะเป็น อย่างไรต่อไป” ผมก็จนด้วยเกล้าตอบไม่ได้ เพราะคนที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดคือคนชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ถ้าเป็นเพียงคนธรรมดา หรือเป็นแค่นักจัดรายการชิมไปบ่นไปหรือ ยกโขยงหกโมงเช้า คงไม่มีใครสนใจท่าน แต่พอมีสถานะเป็นผู้บริหารประเทศ แม้จะมีทั้งคนต่อต้านหรือสนับสนุนมันมีผลกระทบกับประเทศชาติแทบทั้งสิ้น ลองดูซิครับเคยมีรัฐบาลชุดไหนที่มี ประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสน ไปยึดทำเนียบรัฐบาล จนทำให้นายกฯเข้ามาทำงานไม่ได้จนเกือบจะครบ 10 วันแล้วครับ ต้องกลายเป็นคนร่อนเร่พเนจรอาศัยพื้นที่ของกองทัพเป็นสถานที่ทำงาน เห็นแล้ว รู้สึกอเนจ อนาถใจ อย่างล่าสุดนายกฯสมัครมอบหมายให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เป็นหัวหน้ารับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตาม ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งนายทหารท่านนี้ก็ออกมายืนยันว่า จะไม่ใช้ความรุนแรง และเน้นการเจรจาเพื่อหาทางออก เพราะ รู้ดีว่างานนี้รับเผือกร้อนไปเต็ม ๆ จึงไม่แปลกใจ พอ ผบ.ทบ.ออก มาประกาศจุดยืนว่าขอยืนเคียงข้างประชาชน เราจึงได้เห็นนอมินีจัดตั้งอย่าง “จาตุรนต์ ฉายแสง” ออกมากดดันผ่านสื่อของรัฐ ว่า ผบ.ทบ. ต้องไปผลักดันให้กฎหมายมีผลบังคับใช้อย่างเคร่งครัด พูดง่าย ๆ ทั้งนายและบ่าว คงหวังจะให้ ผบ.ทบ. ต้องตกเป็นแพะรับบาป เหมือนกับ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง หรือข้าราชการบางคน ทั้งที่วิกฤติของบ้านเมืองเกิดจาก คนในรัฐบาลแท้ ๆ แต่กลับจะมาให้คนที่ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหา ต้องรับผิดชอบ เพราะมีข่าวลือออกมาเป็นระยะ ๆ ว่า มีบิ๊กทหาร จะขอร้องให้นายกฯออกมาจากตำแหน่ง จึงโยนภาระแก้ปัญหาเรื่องม็อบพันธมิตรฯมาให้ดำเนินการ หวังใช้เกมนี้มาเชือดคนไม่ทำร้ายประชาชน แต่ขอโทษทีถ้าใครคิดจะหาเหตุ ไม่ใช้ความรุนแรง จัด การกับพันธมิตรฯมาปลด พล.อ.อนุพงษ์พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. คงไม่ได้ทำง่าย ๆ เหมือนกับ เชือด อดีต ผบช.น. เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่านายทหารรุ่นเดียวกับนายใหญ่จะไม่พอใจ แต่นายกฯสมัครไม่สนใจ เพราะรู้สถานการณ์อย่างนี้ต้องพึ่งใคร ถึงจะอยู่ได้นานที่สุด แต่ถ้าหากผู้นำรัฐบาลคิดจะปลดหรือเปลี่ยนตำแหน่งใคร ก็ตาม ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ผมขอแนะนำว่าท่านต้อง ปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ และ พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว พ้นจากตำแหน่งหลัก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดการกับผู้ชุมนุม เพราะเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างประชาชนที่มีแนวความคิดต่างกัน 2 กลุ่ม ถือเป็นความบกพร่องที่ชัดเจนต้องมีคนรับผิดชอบ ยิ่งผมเห็นภาพข่าวหน้า 1 ของ นสพ.เดลินิวส์วันที่ 3 ก.ย. มีภาพ นักเคลื่อนไหวใส่เสื้อแดง ชูมีดดาบหราคล้ายกับว่ากำลังทำสงครามกับคนจะเข้ามาปล้นบ้านปล้นเมือง แต่นี่สู้รบกับคนไทยด้วยกันเอง จึงสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ปล่อยนักรบท่านนี้ถือดาบออกมาโชว์ได้อย่างไร เพราะ มันผิดกฎหมายชัด ๆ ในเรื่องการพกพาอาวุธต่อที่สาธารณะ อย่าลืมว่า เหตุการณ์ปะทะกันเมื่อกลางดึกวันที่ 1 ก.ย. มีคนตายด้วยนะครับ วันนี้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบจากการ เสียชีวิตของชาวบ้าน ที่ออกมาช่วยปกป้องผู้มีอำนาจบางคน หรือถึงเวลาต้องชดใช้กรรม เพราะบังเอิญเคยไปเป็นตัวละครสำคัญในช่วงเกิดเหตุการณ์ 6 ต.ค. 19 และ “พฤษภาทมิฬ 35” จึงมีอะไรมาปิดหูปิดตาจนไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของคนทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในขณะนี้.
เขื่อนขันธ์
ที่มา http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_columns/default.aspx?CategoryID=37&NewsType=2

โพสต์โดย น.ส.นันทวัน ไชยพงษ์ 5131601365 section 2
ทูตสหรัฐฯหารือการเมือง อภิสิทธิ์ [3 ก.ย. 51 - 04:37]


เมื่อเวลา 15.30 น. วานนี้ (2 ก.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเอริด จี จอร์น เอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกา เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง โดยนายเอริด จี จอร์น กล่าวว่า มาหารือพูดคุยกันในเรื่องทั่วไป โดยได้ตระเวนไปหารือสถานการณ์ต่างๆ กับทุกพรรคการเมือง ส่วนสถานการณ์วิกฤติของประเทศไทยขณะนี้ ขอไม่แสดงความคิดเห็นหรือยุ่งเกี่ยวอะไร แต่เชื่อว่าจะได้รับการแก้ไขตามขั้นตอนทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ
ด้านนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายเอริดได้แสดงความห่วงใยในฐานะมิตร ได้สอบถามการประเมินสถานการณ์ ของพวกเรา จึงได้อธิบายถึงการประเมินสถานการณ์และให้ข้อมูลเท่าที่ทราบ รวมทั้งได้พูดถึงจุดยืนของพรรค นายเอริดเองก็มีความประสงค์อยากจะเห็นการคลี่คลายสถานการณ์ไปอย่างสงบ ภายในกรอบกฎหมาย และวิถีทางประชาธิปไตย
โดย นางสาว จุฑาทิพย์ เม้าคำ ID.5131601277 Section 02

2 ขั้วการเมืองบนความเหมือน-ความต่าง'สมัคร สุนทรเวช-พล.ต.จำลอง ศรีเมือง'

ประวัติส่วนตัวโดยสังเขป "สมัคร สุนทรเวช" เกิดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2478 เรียบจบปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนเล่นการเมืองทำงานบริษัทเอกชนควบคู่ไปกับการเป็นนักเขียนบทความ ความคิดเห็นทางการเมืองแบบไม่ประจำในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์และหนังสือพิมพ์ชาวกรุง นอกจากนี้เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย ก่อนลงเล่นการเมืองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มมีความโดดเด่นช่วงปี พ.ศ. 2519 หลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 รับตำแหน่ง รมว.มหาดไทย พร้อมลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ จากนั้น พ.ศ. 2522 ก่อตั้งพรรคประชากรไทย มีฐานเสียงอยู่ในพื้นที่ กทม.เป็นหลัก
เส้นทางการเมือง ส.ส.กทม.หลายสมัย ผ่านตำแหน่งการเมืองมาอย่างโชกโชน ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร อาทิ รมช.เกษตรฯ รมว.มหาดไทย รมว.คมนาคม รองนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าฯ กทม. ว่าที่ ส.ว.กรุงเทพฯ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
บุคลิกส่วนตัว เป็นนักโต้วาทีเก่า มีความสามารถในการพูด มั่นใจในตัวเองสูง ดื้อ
ฉายา ชมพู่ (มาจากลักษณะจมูก)
สัตว์เลี้ยง เป็นคนรักแมวเป็นชีวิตจิตใจ
อุปนิสัยการกิน เป็นนักชิมตัวฉกาจ ชอบทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ กินวันละหลายมื้อ ชอบทานขนมและโอวัลตินเย็น กรณีชอบกินนี้เคยถูกนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร
เหตุการณ์การเมืองครั้งสำคัญ ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองมาโชกโชนทั้ง 14 ตุลา 16 โดยเฉพาะเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทโดดเด่น ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นายสมัครดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.สุจินดา
ความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รู้จักกันมานานและเป็นผู้สนับสนุนการทำงานของพ.ต.ท.ทักษิณผ่านรายการ “สมัคร-ดุสิตคิดตามวัน” จนมีการ ยุบพรรคไทยรักไทย ได้ลาออกจากพรรคประชากรไทยที่ตัวเองก่อตั้งไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่มีอดีต ส.ส. ที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณสังกัดอยู่ โดยประกาศตัวว่าเป็น “นอมินี” ผิดตรงไหน
สถานะปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม หัวหน้าพรรคพลังประชาชน
ณ ชั่วโมงนี้ แม้จะถูกต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ก็ยังประกาศจะยึดระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีการลาออกหรือยุบสภาตามคำเรียกร้องของฝ่ายต่าง ๆ ที่เริ่มดังขึ้น ๆ โดยมีกลุ่มคน “สีแดง” ให้การสนับสนุน.
ประวัติส่วนตัวโดยสังเขป "จำลอง ศรีเมือง" เกิดเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2478 ย่านฝั่งธนบุรี จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น จปร.7 ถูกเพื่อน ๆ เรียกว่า “จ๋ำ” ขณะที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า “มหา” เพราะเป็นนายทหารที่ใฝ่ธรรมะ ปัจจุบันสมรสกับ พ.ต.หญิงศิริลักษณ์ ศรีเมือง เคยผ่านสมรภูมิรบมาหลายครั้ง
เส้นทางการเมือง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นในปี 2528 พล.ต.จำลองลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามกลุ่มรวมพลังได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น จากนั้นปี 2531 ก่อตั้งพรรคพลังธรรม จากนั้นปี 2533 ชนะการเลือกตั้งใน กทม.อย่างถล่มทลายจนเป็นกระแส “จำลองฟีเวอร์” ช่วงเป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยที่ 2 ก็ผันตัวเองลงการเมืองระดับชาติ เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
บุคลิก เป็นคนพูดน้อย แต่ทำจริง มุ่งมั่น
ฉายา มหา 5 ขัน (เคยออกมาระบุว่า ปฏิบัติตัวสมถะ นอนไม้กระดานและอาบน้ำครั้งละ 5 ขัน)
รักสัตว์ รักสัตว์โดยเฉพาะสุนัขเพราะครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ก่อตั้ง “สถานที่เลี้ยงสุนัขจรจัด” ย่านทุ่งสีกัน ดอนเมือง
อุปนิสัยการกิน โด่งดังจากการรณรงค์ให้กินอาหารมังสวิรัติ และกินมื้อเดียวจนได้ฉายาว่า “มหามื้อเดียว”
เหตุการณ์การเมืองครั้งสำคัญ มีบทบาทครั้งสำคัญในเหตุ การณ์พฤษภาทมิฬปี 35 โดยเป็นแกนนำต่อต้านรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ถึงขนาดประกาศอดข้าวประท้วง จนมีการจับกุมเป็นเหตุให้เกิดการปราบปรามจนมีประชาชนเสียชีวิต
ความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ชักนำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าสู่เส้นทางการเมืองในปี 2537 โดยเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมที่ตัวเองก่อตั้ง ได้ชื่อว่าเป็นผู้สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณมาตลอดจนกระทั่งปลายปี 2548 เป็น 1 ในกลุ่มประชาชนที่ต่อต้านและเรียกร้องให้ พ.ต.ท. ทักษิณลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สถานะปัจจุบัน 1 ใน 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย
ณ ชั่วโมงนี้ กำลังชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช โดยยึดทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. โดยเรียกร้องให้นายสมัคร ลาออกโดยมีประชาชนกลุ่ม “สีเหลือง” ให้การสนับสนุน.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=175772&NewsType=1&Template=1

โพสต์โดย น.ส.นันทวัน ไชยพงษ์ 5131601365 section 2

อำนาจ "หมัก" ล้นฟ้า! สั่งเคลื่อนทหารได้เอง ดึงกม.สำคัญ20ฉบับอยู่ในมือ ไฟเขียวตร.จัดการคนทำผิดกม.( วันที่ 04 กันยายน พ.ศ. 2551 )

ครม.ไฟเขียวให้ "สมัคร" ริบอำนาจรัฐมนตรีทั้งหมด พร้อมกฎหมายอีก 20 ฉบับ รวมทั้งกฎหมายอาญา-ประกาศเคลื่อนย้ายทหาร ตั้ง"อนุพงษ์"เป็น ผอ.กองแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอีกตำแหน่ง มทภ.1 ให้ตำรวจแจ้งความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ ยันคนผิดต้องถูกดำเนินคดี
P { margin: 0px; }
ครม.ตั้ง "อนุพงษ์" ผอ.กอฉ.
เวลา 12.40 น. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีฉุกเฉินว่า การประชุม ครม.ครั้งนี้เป็นการประชุมตามกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้ ครม.รับทราบและเห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภายใน 3 วัน โดยได้มีการออกประกาศเพิ่มเติม 2 ฉบับโดยความเห็นชอบของ ครม. คือ นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้จัดตั้งกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) มี ผบ.ทบ.เป็นผู้อำนวยการ และมี ผบ.ตร. แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นรองผู้อำนวยการ แล้วมีรองปลัดกระทรวงยุติธรรม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ ปลัด กทม. ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและสถานการณ์ที่ผู้อำนวยการเห็นสมควรแต่งตั้ง เป็นกรรมการ และผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีเจ้ากรมยุทธการทหารบกเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ คนที่ 1 เสนาธิการกองทัพภาคที่ 1 เป็นกรรมการและเลขานุการคนที่ 2 รวมทั้งข้าราชการตำรวจและข้าราชการพลเรือนตามผนวก เป็นเจ้าหน้าที่ รวมทั้งสิ้น 19 ตำแหน่ง
กำหนดหน้าที่ 9 ข้อ-ดูแลกทม.
พล.ต.ท.วิเชียรโชติกล่าวว่า กอฉ.มีอำนาจ 1.เป็นหน่วยงานพิเศษปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในเขต กทม. 2.จัดให้มีหน่วยงานหรือศูนย์ปฏิบัติการ เพื่อเป็นองค์ประกอบภายใต้ กอฉ. โดยมีอำนาจในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม รวมทั้งระงับยับยั้งเหตุฉุกเฉิน ตามที่ได้รับมอบหมาย 3.ดำเนินการด้านการข่าวต่างๆ 4.ดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลและประชาชนทุกภาคส่วน รวมทั้งปฏิบัติการจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง สำหรับการดำเนินการด้านการข่าวและต่อต้านข่าวกรองที่เกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5.จัดกำลังพลเรือน ตำรวจ และทหาร ดำเนินการตามแผนรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ และสถานที่สำคัญต่างๆ รวมทั้งประสานให้ส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ ที่เป็นเจ้าของสถานที่นั้นๆ ดำเนินการป้องกันตนเองตามความสามารถเป็นอันดับแรก 6.มอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนกำลังพล งบประมาณ วัสดุ ครุภัณฑ์ ยานพาหนะและเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน 7.เรียกให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง เข้าประชุมชี้แจง ให้ข้อมูลข่าวสารหรือจัดส่งเอกสารหรือดำเนินการอื่นใดตามแต่เห็นสมควร 8.แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาหรือเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตามความจำเป็น 9.ดำเนินการอื่นๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีและ ครม.มอบหมาย โดยนายสมัคร ลงนามในคำสั่งวันที่ 4 กันยายน 2551ม็อบ2
"สมัคร"ริบอำนาจรมต.-กำกม.20ฉบับ
พล.ต.ท.วิเชียรโชติกล่าวว่า นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติให้อำนาจนายกรัฐมนตรี ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดย ครม. มีมติโอนอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมายมาเป็นของนายกรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชา หรือช่วยในการแก้ไขปราบปราม ระงับยับยั้งสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือช่วยเหลือประชาชนในเขตท้องที่ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งหมด 20 ฉบับ ตามที่อยู่ในอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ คือ 1.พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 2.พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2493 3.พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 4.พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 5.พ.ร.บ.ควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ.2495 6.พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2520 7.พ.ร.บ.ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2522 8.พ.ร.บ.ควบคุมอาหาร พ.ศ.2522 9.พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณา โดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ.2493 10.พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535
นายกฯยึดอำนาจเคลื่อนย้ายทหาร
11.พ.ร.บ.การจราจรทางบก พ.ศ.2522 12.พ.ร.บ.การสุรา พ.ศ.2493 13.พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 14.พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 15.พ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.2485 16.พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 17.พ.ร.บ.การเนรเทศ พ.ศ.2499 18.ประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ เฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับมูลนิธิและสมาคม 19.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจสืบสวนและสอบสวน และการใช้อำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ 20.ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการใช้กำลังทหาร การเคลื่อนกำลังทหารและการเตรียมพร้อม พ.ศ.2545 โดยนายสมัครลงนามในประกาศวันที่ 4 กันยายน 2551
นักกฎหมายมหาชนรายหนึ่งระบุว่า การที่ ครม.ได้ออกประกาศโอนอำนาจกฎหมาย 20 ฉบับของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงมาอยู่ในมือนายสมัคร โดยเฉพาะกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการใช้กำลังทหาร และการเคลื่อนกำลังทหาร เท่ากับดึงอำนาจการสั่งเคลื่อนย้ายทหารจากผู้บัญชการแต่ละเหล่าทัพมาเป็นของนายกฯ จากเดิมที่หากนายสมัครในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะเคลื่อนย้ายกำลังทหาร จะต้องได้รับคำแนะนำจาก ผบ.เหล่าทัพก่อน หรือการดึงอำนาจตามกฎหมายประมวลแพ่งและพาณิชย์ เฉพาะบทบัญญัติเกี่ยวกับมูลนิธิและสมาคม จะทำให้นายกฯสามารถตรวจสอบและเพิกถอนมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมได้ เช่น มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
"ถ้านายสมัครมีอำนาจในการสั่งเคลื่อนย้ายกำลังทหาร เท่ากับนายสมัครต้องการเล่นแรงกับ ผบ.เหล่าทัพและผู้ชุมนุม หรืออาจเป็นเพียงการขู่เท่านั้น" แหล่งข่าวระบุ
มทภ.1ชี้กอฉ.หาช่องกม.แก้ปัญหา
พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) ว่า เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมีการรวมเจ้าหน้าที่จากทุกกระทรวง ทบวง กรม โดยเฉพาะด้านกฎหมาย เพราะการทำงานจะทำให้เกิดความรอบคอบถูกต้อง ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนแค่ 3 คน ที่จะให้แก้ปัญหาคงเป็นไปไม่ได้ แต่จะเน้นการไม่ใช้ความรุนแรง และทำอย่างไรเพื่อให้คนไทยกระทบกระทั่งกันน้อยที่สุด ต้องให้คณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่ร่วมกันแก้ปัญหา ต้องยอมรับว่า เงื่อนไขผ่านมา 3 เดือนแล้ว ต้องทำให้เงื่อนไขลดลง กฎหมายมีอยู่ และทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ผิดกฎหมาย แต่เมื่อไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ทำตามกฎหมายจึงต้องหาวิธีการดำเนินการ
เมื่อถามว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เสนอให้นายกฯแต่งตั้งกองอำนวยการนี้ขึ้นมาใช่หรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นแนวคิดตั้งแต่แรกเพื่อให้ทุกหน่วยงานมีส่วนร่วมมากขึ้น ใช้กำลังอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีทีมกฎหมายมาดูว่าจะทำอย่างไรในการบังคับใช้กฎหมาย และเมื่อต้องใช้ความรุนแรงก็ต้องมาดูว่า เจ้าหน้าที่จะทำตามกฎหมายและกติกาที่มีอยู่อย่างไร
สรส.เสียงแตก-เลิกพบ"อนุพงษ์"
วันเดียวกัน เวลา 14.00 น. พล.อ.อนุพงษ์ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้เรียกประชุมคณะทำงานแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานด้านความมั่นคงและส่วนราชการต่างๆ เข้าร่วมหารือรวม 20 องค์กร อาทิ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะรองหัวหน้ารับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์
รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้ ในเวลา 15.00 น. พล.อ.อนุพงษ์ได้เชิญแกนนำสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) มาร่วมหารือ เพื่อหาทางออกปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น หลังจากที่ สรส.ได้นัดหยุดงาน และขู่ตัดน้ำตัดไฟ สถานที่ราชการสำคัญหลายแห่ง แต่ภายหลังแกนนำ สรส.แจ้งขอยกเลิกการเข้าหารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ โดยอ้างว่าไม่พร้อม เนื่องมาจากแกนนำมีความเห็นที่แตกต่างกัน
ทหารให้ตร.จัดการคนผิดกม.
พล.ท.ประยุทธ์กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินว่า คณะกรรมการได้หารือเพื่อกำหนดแนวทางการทำงานโดยยังยืนยันที่จะไม่ใช้ความรุนแรงแต่จะเน้นการเจรจาเป็นหลัก โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการที่จะแจ้งกับผู้ที่กระทำผิดข้อห้ามที่มีอยู่ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อให้ทราบว่ามีการดำเนินการผิดกฎหมายข้อใดบ้าง
"ปัญหาขณะนี้ คือ การบังคับใช้กฎหมายที่กลุ่มพันธมิตรไม่ยอมรับ ซึ่งเจ้าหน้าที่คงเลี่ยงปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้ แต่อาจจะมีมาตรการจากเบาไปหาหนัก ทุกคนทราบดีว่าเขาอยากให้เราใช้กำลังดำเนินการ แต่เจ้าหน้าที่ทำไม่ได้ เพราะหากเกิดการล้มตายแล้วจะทำอย่างไร จึงน่าจะมีแนวทางที่ดีกว่านี้ ควรมีการพูดคุยกันและใช้แนวทางสันติ อยากให้ให้ทุกฝ่ายลดเงื่อนไขลงบ้าง และประชาชนต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ คิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ระวังแต่ผู้ชุมนุม ต้องรักษาสิทธิคนอื่นที่ไม่มาประท้วง แต่เกิดผลกระทบ ดังนั้น การใช้ พ.ร.ก.ต้องนึกถึงคนเหล่านั้นด้วย" พล.ท.ประยุทธ์กล่าว
ยันคนทำผิดต้องถูกดำเนินคดี
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีพอใจการทำงานของคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า นายกฯเข้าใจและพูดคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์ตลอด ทั้งนี้ การทำงานของเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความสุขุม เพื่อไม่ให้เกิดความุรนแรง อย่าสร้างความกดดันกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งขอระยะเวลาดำเนินการตามขั้นตอน ขอความร่วมมือทุกฝ่ายทั้งพันธมิตร ฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายที่อยู่ตรงกลางต้องช่วยกัน เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน เพื่อประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
เมื่อถามว่า นายกฯมีความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ต่อหรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่นายกฯได้ทำหน้าที่และมอบอำนาจให้เราดูแล เราก็ทำ แต่ไม่ให้เกิดความรุนแรงเท่านั้น ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมายคนไม่ปฏิบัติตาม เมื่อเอาไปใช้ก็เกิดปัญหา ซึ่งคนที่ทำผิดอยู่เวลานี้ ยังคงมีความผิดตามกฎหมายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะจบอย่างไร คนที่มีความผิดต้องถูกดำเนินคดี
เมื่อถามว่า สถานการณ์ยังไม่มั่นคงเกรงว่าทหารจะก่อรัฐประหารอีกครั้ง พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า "ไม่มี อย่าถามเรื่องปฏิวัติ ควรถามว่าบ้านเมืองจะไปอย่างไร เราจะช่วยกันอย่างไร ขณะนี้ทหารมีเพียงเตรียมกำลังอยู่ในหน่วยที่ตั้ง เพื่อดูแลสถานการณ์หากมีการเคลื่อนมวลชนมาปะทะกัน ทหารก็จะเข้าห้ามปราม ทั้งนี้ อย่าเอาเวลามาเป็นเงื่อนไข พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีกำหนดเวลา 3 เดือน ไม่ได้กำหนดว่าเสร็จเมื่อไหร่ หากไม่เสร็จก็ต่อไปอีกได้ แต่หากสถานการณ์เรียบร้อยอาจยกเลิกก่อนได้" พล.ท.ประยุทธ์กล่าว
เผย "อนุพงษ์" กังวลสถานการณ์ชุมนุม
ก่อนหน้าการประชุม พล.ท.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.กังวลว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยโดยเร็ว โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ และเจ้าหน้าที่ไม่ถูกมองว่าใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เรามีประวัติศาสตร์อยู่แล้วว่า การใช้ความรุนแรงไม่เกิดผลดี เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นคนไทยต่างมีเงื่อนไขของตัวเอง ถ้าไม่ลดราวาศอกกันและกัน ไม่ว่าจะมีกฎหมายใดก็แก้ไขไม่ได้ จะมุ่งไปสู่ความรุนแรง
"ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก เราจะไม่เข้าไปรบกวนในกิจวัตรจำเป็นของประชาชน ข้อห้ามหลายประการเรายังไม่มีความจำเป็นต้องใช้อย่างเด็ดขาด เช่น การชุมนุม หรือ มั่วสุมเกิน 5 คน ถ้าเป็นการดำเนินการตามชีวิตประจำวัน ไม่ได้ไปมั่วสุมทำให้เกิดการแตกแยก เราคงไม่ไปรบกวน ปัจจุบันมีอยู่ 2 กลุ่ม ที่เกิดปัญหาเราพยายามแก้ปัญหาอยู่ แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติได้ ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำอะไรเลย หลังจากที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาเราประชุมทั้งเจ้าหน้าที่พลเรือน ตำรวจ ทหาร ว่าจะทำอย่างไร จึงเอามาตรการมาใช้ในเวลาที่เหมาะสม ไม่ได้หมายความว่า กฎหมายทั้งหมดที่มีอยู่จะนำมาใช้ทั้งหมด เพราะจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่เกิดผลดี วิธีแก้ปัญหาคือ ไม่ใช้การไล่ปราบปราม ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทำความเข้าใจกับประชาชนว่า อย่ามาชุมนุมเพิ่มขึ้นอีก เราพยายามทำด้วยวิธีละมุนละม่อม" พล.ท.ประยุทธ์กล่าว
"อนุพงษ์"ให้ตร.เจรจาม็อบสกัดเข้ากรุง
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รองผบช.ก.) ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตำรวจและฝ่ายทหารมีหน้าที่ร่วมกันในการรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย โดยจะไม่ใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชนอย่างเด็ดขาด โดยทหารได้จัดกำลังไว้ในที่ตั้งเพื่อคอยสนับสนุนการทำงานของตำรวจในกรณีที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงเท่านั้น ส่วนการสั่งการนั้น ผบช.น.จะประสานงานโดยตรงกับแม่ทัพภาค ที่ 1 ตลอดเวลา
"จากการหารือร่วมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ สรุปว่า ตำรวจยังมีหน้าที่สร้างความเข้าใจกับประชาชนในประเทศให้ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เดินทางเข้ามาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ตำรวจยังต้องมีบทบาทในเรื่องของการเจรจา และการใช้กลไกกฎหมาย โดยไม่ใช้กำลังในการปฏิบัติกับทุกฝ่าย" โฆษก ตร.กล่าว
อ้างอึดอัดใจถูกเป็นจำเลยสังคม
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ตำรวจเองทราบดีว่าผู้ต้องหาทั้ง 9 คน ปรากฏตัวให้เห็นอยู่ในทำเนียบแต่ตำรวจไม่ได้ดำเนินการจับกุม ไม่กลัวหรือที่จะถูกว่าตำรวจเลือกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พล.ต.ต.สุรพลกล่าวว่า หากตำรวจเข้าไปจับกุมแล้วเกิดเหตุปะทะกันขึ้นจนเสียเลือดเนื้อ สถานการณ์ก็จะยิ่งปานปลาย อีกทั้งหมายจับมีอายุความถึง 20 ปี
"ตอนนี้ตำรวจถูกกดดันจากองค์กรต่างๆ อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเต็มที่ อุปกรณ์ที่ใช้ปราบจลาจลก็ไม่สามารถใช้ได้ตามหลักสากล จึงไม่สามารถรักษาสถานที่อย่างทำเนียบรัฐบาลเอาไว้ได้ ตอนนี้กลุ่มผู้ชุมนุมล้ำเส้น แต่ไม่รู้ว่าเส้นแบ่งมันอยู่ตรงไหน ต่อไปคงต้องมาคุยกันว่าตำรวจสามารถทำอะไรได้แค่ไหน เพื่อให้เกิดการยอมรับได้จากทุกฝ่าย และไม่ต้องตกเป็นจำเลยสังคม" พล.ต.ต.สุรพลกล่าว และยอมรับว่าตำรวจอึดอัดใจที่ไม่สามารถทำตามขั้นตอนต่างๆ ได้ ถ้าทำแล้วเกิดการปะทะก็ตกเป็นจำเลยของสังคม จึงไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อกติกาของสังคมไม่ยอมรับ
วันเดียวกัน พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้านครบาล (ศปก.น.) มีบันทึกด่วนที่สุด ลงวันที่ 3 กันยายน ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และรอง ผบ.ตร.เพื่อโปรดทราบ ด้วยขณะนี้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในเขตพื้นที่ กทม. ประกอบกับมีการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน เพื่อให้การประสานงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพ จึงให้ พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น. เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ประสานงานกับกองทัพภาคที่ 1 และมอบหมายให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่นายตำรวจประสานงานประจำกองทัพภาคที่ 1 ได้แก่ พ.ต.ท.ถาวร สมศักดิ์ รอง ผกก.กก.1 บก.จร. พ.ต.ท.ศักดิ์รินทร์ ตันติภัณฑรักษ์ รอง ผกก.ฝอ.1 บก.อก.บช.น. พ.ต.ท.ปรีดา สถาวร รอง ผกก.ฝอ.1 บก.อก.บช.น. พ.ต.ท.สรรค์พิสิฐ แย้มเกสร รอง ผกก.1 บก.ตปพ. และ พ.ต.ท.ชุมวร ชมะทัต รอง ผก.ฝอ.7 บก.อก.บช.น. ทั้งนี้ ให้นายตำรวจประสานงานดังกล่าวเข้าร่วมประชุมกองทัพภาคที่ 1 ทุกวัน เวลา 17.00 น. และเข้าร่วมประชุมสรุปสถานการณ์ในส่วนของ บช.น.ในแต่ละวัน

ขอขอบคุณ http://www.matichon.co.th
โดย นาย วีรพงศ์ พุทธสอน
ID: 5131601494
section: 2
school of law

พันธมิตรฯไม่เอาประชามติ ปธ.วุฒิสภาระบุสายเกินไป [4 ก.ย. 51 - 20:27]


วันนี้ (4 ก.ย.) นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่การประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ วันนี้ มีมติให้ทำประชามติเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า การกระทำของรัฐบาลไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะการทำประชามติเพื่อแก้ไขวิกฤติการเมืองจะทำไม่ได้ และเห็นว่ารัฐบาลหาทางออกง่ายๆ นอกจากนี้ พรรคพลังประชาชนก็กำลังเข้าสู่กระบวนการยุบพรรคแล้ว อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลจะทำประชามติกับประชาชนเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้สามารถทำได้ และยืนยันว่าพันธมิตรฯ ยังคงรับฟังความคิดเห็นจากหลายๆ ฝ่ายอยู่แล้ว แต่จุดยืนยังคงเหมือนเดิมตามที่เคยประกาศไว้ คือให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลลาออก
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ภายในทำเนียบรัฐบาล ยังคงเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนทยอยเดินทางเข้ามาร่วมชุมนุมอย่างต่อเนื่องแม้สภาพอากาศจะร้อนก็ตาม ส่วนบนเวทีปราศรัยยังคงมีแกนนำผลัดกันขึ้นปราศรัยโจมตี นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ถึงเรื่องต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ด้านนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา แสดงความคิดเห็นเรื่องการทำประชามติเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเมืองในขณะนี้ ว่า เวลานี้อาจสายเกินไปแล้วที่จะนำการทำประชามติมาใช้แก้ปัญหาบ้านเมือง เพราะถือปัญหาการเมืองเร่งด่วนเฉพาะหน้า ที่จะต้องเร่งแก้ไข ซึ่งการประชุมวุฒิสภาวันพรุ่งนี้ (5 ก.ย.) ได้มีการบรรจุร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว แต่หากจะพิจารณากฎหมายนี้ให้แล้วเสร็จอย่างเร็วที่สุดต้องใช้เวลา 1 เดือน ดังนั้นทางที่ดีควรแก้ไขด้วยกระบวนการทางรัฐสภา
ส่วนที่จะมีการหารือของผู้นำ 3 ฝ่าย ว่าจะมีการเปิดประชุมร่วม 2 สภาในวันพรุ่งนี้หรือไม่นั้น ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า จากการหารือกับสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน มีความเห็นแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือเห็นว่า การประชุมร่วมสภาไม่เกิดประโยชน์ ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่า น่าจะเป็นช่องทางในการเสนอแนะทางออกใหม่ๆ ได้ ส่วนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 หากสภาผู้แทนราษฎรผ่านความเห็นชอบในวันพรุ่งนี้ สมาชิกวุฒิสภาจะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาในวันที่ 12 ก.ย. แต่หากมีการยุบสภาก่อนวันที่ 12 ก.ย. คงต้องใช้ร่างเดิม
ขณะที่นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน กล่าวภายหลังเข้าเยี่ยมคารวะ ประธานวุฒิสภา ว่า เพื่อให้กำลังใจฝ่ายนิติบัญญัติในการแก้ไขปัญหาการเมืองให้สำเร็จ เนื่องจากนานาชาติให้ความสนใจและได้สอบถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนเองได้ชี้แจงกับหลายประเทศไปแล้ว โดยขอให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะสามารถผ่านวิกฤตการเมืองครั้งนี้ไปได้ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเมืองส่งผลกระทบต่อการแสดงบทบาทการเป็นประธานอาเซียนของไทยอยู่บ้าง จึงขอให้ฝ่ายนิติบัญญัติระดมหาทางคลี่คลายสถานการณ์เป็นการด่วน


ขอขอบคุณ http://www.thairath.co.th
โดย นาย วีรพงศ์ พุทธสอน
ID: 5131601494
section : 2
school 0f law

พันธมิตรชุมพรตาย-เจ็บ อุบัติเหตุเดินทางร่วมชุมนุม [4 ก.ย. 51 - 22:24]


ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เวทีทำเนียบรัฐบาล ช่วงค่ำที่ผ่านมา (4ก.ย.) มีการปราศรัยสลับการแสดงดนตรี โดย นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) พร้อมแกนนำรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ขึ้นเวทีปราศรัยประกาศกดดันรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง พร้อมรายงานผลการนัดหยุดงานรัฐวิสาหกิจทั้งหมดช่วง 2 วันที่ผ่านมา ว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตัดไฟในพื้นที่ ภาคเหนือ 12 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 14 จุด ภาคกลาง 6 จุด และ ภาคใต้ 3 จุด รวมทั้งหมด 39 พื้นที่ ส่วนการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ตัดไฟฟ้า 2 จุด จุดละประมาณ 2-3 ชั่วโมงเพื่อไม่ให้หน่วยงานต่างๆได้รู้ตัว สำหรับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ยังคงหยุดการเดินรถร้อยละ 80 ของทั้งหมด โดยเฉพาะสายใต้ รถไฟหยุดวิ่ง 100 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนการบินไทย เครื่องบินดีเลย์ รวมทั้งการซ่อมบำรุงและการขนส่งสินค้าล่าช้า นอกจากนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทย คลองเตย หยุดให้บริการขนส่งสินค้า 100 ร้อยเปอร์เซ็นต์

"รัฐวิสาหกิจทั้งหมดยังเดินหน้าต่อต้านรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่าการกดดันจะดำเนินการเฉพาะสถานที่ราชการ ไม่ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน" นายสาวิทย์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ต่อมา เยาวชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขึ้นเวทีปราศรัยประกาศนัดชุมนุมใหญ่นิสิตนักศึกษาทั่วประเทศวันเสาร์ที่ 6 ก.ย. นี้ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์เวลา 18.00 น.

นายสาวิทย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังกรณีไม่เข้าหารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) ที่นัดหมายในวันนี้ ว่า สถานการณ์ในขณะนี้ไม่เหมาะสมในการหารือ อาจเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการเจรจา เพียงขอชะลอไปก่อน สรส.จะนัดหมายพูดคุยกันอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณผู้บัญชาการทหารบก ยืนยันว่า สะดวกจริงๆ ที่จะเข้าพบในขณะนี้

ด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการชี้แจงสถานการณ์การเมืองของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผ่านสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ว่า ไม่ใช่เรื่องเกินคาดหมายที่จะไม่ลาออก เพราะเป็นจุดมุ่งหมายรักษาสถานะขอตนเอง โดยไม่สนใจว่าระบบจะเสื่อมลง อย่างไรก็ตาม หากยังดื้อดึง จะเกิดการเปลี่ยนทางการเมือง 2-3 ด้าน เหนือความคาดหมาย ความขัดแย้งจะขยายวงกว้างไปยังต่างจังหวัด และอาจเป็นเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหาร ส่วนกรณี รัฐบาลเตรียมทำประชามติสถานการณ์การเมืองขณะนี้ ยืนยันว่า ทำไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ หากรัฐบาลยืนยันจะทำเรื่องนี้จริง ก็จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ สำหรับกรณีศาลอุทธรณ์เลิกคุ้มครองชั่วคราวประเด็นให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกจากพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ถือเป็นดุลพินิจของผู้บัญชาการทหารบก อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ยืนยันว่าจะไม่ใช่กำลัง ถือเป็นเรื่องดีที่จะใช้วิถีการเมืองแก้ไขปัญหา

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ต่อมา แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้ง 5 คน ขึ้นเวทีปราศรัยมีการยืนไว้อาลัยแสดงความเสียใจกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.ชุมพร ที่เดินทางมาร่วมชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล แต่เกิดอุบัติทางรถยนต์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ


โดย นาย วีรพงศ์ พุทธสอน
ID: 5131601494
section : 2
school of law

ขยายปริมาณรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง เพิ่มอีก 1 ล.ตัน [4 ก.ย. 51 - 21:17]



วันนี้ (4 ก.ย.) น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการข้าวครบวงจร ได้เห็นชอบให้ขยายปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ประจำปีการผลิต 2551 เพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านตัน จากเดิมกำหนดเป้าหมายที่ 2.5 ล้านตัน เพิ่มเป็น 3.5 ล้านตัน หลังจากพบว่ามีชาวนาได้เร่งปลูกข้าวเปลือกนาปรังกันมากจนทำให้ล่าสุดมีชาวนานำข้าวเปลือกมาเข้าโครงการรับจำนำแล้วถึง 2.2 ล้านตัน ขณะที่ยังเหลือเวลารับจำนำอีกประมาณ 1 เดือน คือภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ จึงทำให้ต้องขยายปริมาณข้าวเพิ่มเติมอีก โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต้องรับภาระเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
น.ส.ศุภรัตน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ขยายเวลาการปิดบัญชีโครงการจากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ ออกไปเป็น 31 มี.ค. 2552 เพื่อให้มีระยะเวลาในการดำเนินงานมากขึ้น โดยไม่ต้องเร่งรัดใดๆ รวมทั้งยังเห็นชอบให้เร่งการจำหน่ายข้าวในสตอกเดิมที่มีอยู่ 2.1 ล้านตัน โดยเร็วที่สุด เพื่อระบายข้าวที่ส่วนใหญ่เป็นข้าวที่รับจำนำมาตั้งแต่ปีการผลิต 2548 โดยเน้นการขายแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือ จีทูจี หากมีคำสั่งซื้อหรือออร์เดอร์เกินจากสตอกเดิมก็สามารถขายข้าวนาปรังที่รับจำนำล่าสุดได้ ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศมากกว่า 20 ประเทศ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมอนุมัติค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อไปเจรจาขายข้าวกับรัฐบาลมาเลเซีย หลังจากที่ไทยกำลังมีปัญหาสถานการณ์การเมืองจึงทำให้คณะเจรจาของมาเลเซียได้ยกเลิกการเดินทางมาเจรจาซื้อข้าวจำนวน 300,000 ตันจากไทย ดังนั้นเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศและเร่งระบายข้าวคณะทำงานจึงต้องเดินทางไปเจรจาขายข้าวที่มาเลเซียเอง
อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมนายกรัฐมนตรีไม่ได้ชี้แจงเรื่องสถานการณ์การเมืองให้ที่ประชุมรับทราบแต่อย่างใด แต่ได้ชี้แจงแหตุผลเรื่องการระบายข้าวในสตอกเดิมว่าเป็นเพียงเหตุการณ์เฉพาะกิจ เพราะยังมีข้าวอยู่ในสตอกเดิมอยู่มาก จึงต้องเร่งระบายข้าวออกไปโดยเร็ว และเน้นการดำเนินการแบบจีทูจี โดยไม่ให้ธุรกิจเกิดความเสียหาย
โดย นางสาวธิติมา ถนอมรอด
ID.5131601352 Section 02

กอฉ.ซุ่มรอเวลาบังคับใช้กม. วอนอย่ากดดันหวั่นปัญหาลาม


พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) กล่าวถึงผลประชุม กอฉ. วันนี้ (4 ก.ย.) ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และผู้รับผิดชอบในการบังคับใช้ รวมทั้งติดตามความก้าวหน้าการทำงาน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเตรียมแผน การเตรียมกำลัง ประเด็นสำคัญ ยังเน้นนโยบายงดการใช้ความรุนแรง และจะใช้กฎหมายที่มีอยู่ดำเนินการ เพราะการใช้กำลังเข้าปฏิบัติต่อกลุ่มคนโดยตรง จะเกิดผลกระทบในวงกว้าง ต้องคำนึงถึงบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย

รองผู้อำนวยการ กอฉ. กล่าวต่อว่าที่ประชุมได้พิจารณาว่า จะมีวิธีการอย่างไรเพื่อดำเนินการตามข้อกำหนดทั้ง 5 ข้อ ที่ออกตามความในมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขเรื่องวิธีการและเวลา ต้องขึ้นกับสถานการณ์ที่ต้องปฏิบัติ เพราะเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีการบ่มเพาะมานาน และเงื่อนไขต่างๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน การนำ พ.ร.ก.ดังกล่าวเข้ามาแก้ไขให้ได้ผลในวันเดียว เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

"ทุกคนเห็นแล้วว่าการใช้กำลังเข้าปฏิบัติการ ทำให้เกิดการสูญเสียบาดเจ็บ แล้วเจ้าหน้าที่จะเป็นฝ่ายผิดทันที ต้องใช้เวลาอาศัยการวางแผนใช้มาตรการเสริมด้วย จึงไม่อยากให้มากดดันกับคณะกรรมการด้วยเวลาหรือเงื่อนไขต่างๆ เพราะถ้าตัดสินใจอะไรเร็วเกินไปจะเกิดข้อผิดพลาด" รองผู้อำนวยการ กอฉ. กล่าว

รองผู้อำนวยการ กอฉ. กล่าวต่ออีกว่าทุกกลุ่มที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าสถานการณ์จะยุติอย่างไร ความผิดก็ยังคงอยู่ ทุกคนจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในโอกาสต่อไป ส่วนกรณีแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อาจเคลื่อนการชุมนุมกลับเข้ามาอีก เป็นเรื่องที่ต้องเตรียมแผนและกำลังไว้เต็มที่ เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเช่นที่ผ่านมา ขณะเดียวกันต้องการขอร้องให้ต่างคนต่างอยู่ในที่ที่เคยอยู่ แล้วค่อยๆ แก้ไขปัญหากันไป เพราะถ้ายังกดดันกันเช่นนี้จะไม่มีอะไรจบสิ้น เจ้าหน้าที่ก็ลำบากใจในการทำงาน เนื่องจากไม่ต้องการทำร้ายประชาชน ทุกอย่างต้องให้เวลาในการคลี่คลาย ใช้สมองในการคิดแก้ไขปัญหาในทางละมุนละม่อม ต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อย่าทำให้เกิดความวุ่นวายกว่านี้อีกเลย

"ต้องหาผู้แทนหรือใครที่จะมาเป็นคนไกล่เกลี่ยเจรจาให้คลี่คลายไปในทางที่ดี ซึ่งแนวทางการเจรจามีการดำเนินการทั้งในทางลับและทางเปิด ผ่านทั้งทางสื่อและญาติพี่น้อง เพื่อขอร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายหาทางแก้ปัญหากันให้ได้ ขึ้นอยู่ว่าเขาจะทำหรือไม่ทำ เพราะเราไปบังคับเขาไม่ได้ ต้องขอร้องกัน ให้ช่วยกันระมัดระวัง ให้ออกมาต่อสู้กันในทางที่ถูกต้อง ข้อสำคัญคือทุกคนต้องปลอดภัย บ้านเมืองต้องปลอดภัย ต้องไม่เสียชื่อไปมากกว่านี้" รองผู้อำนวยการ กอฉ. กล่าวและว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการ กอฉ. ได้รายงานการทำงานของคณะกรรมการให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทราบตลอด นายกรัฐมนตรีไม่ได้ติดใจเรื่องใด เพียงแต่เน้นว่าอย่าให้เกิดความรุนแรง ในส่วนของคณะกรรมการจะพยายามทำให้ดีที่สุด
ขอขอบคุณ www.dailynews.co.th
โดย นางสาวศศิวิมล ศักรภพน์กุล
ID. 5131601506 Sec 2
School of law

สื่อนอกตีข่าวไทย"กรุงแตก"

สื่อนอกตีข่าวไทย"กรุงแตก"เลือดไหลนอง !! เกิดโกลาหลถึงจุดสูงสุด ภาพลักษณ์ "ธุรกิจ-ลงทุน" ติดลบสื่อนอกตีข่าวไทยจ่อนองเลือด!! การเมืองอยู่ในภาวะโกลาหล ส่งผลสะเทือนต่อภาพลักษณ์ในเชิงธุรกิจและการลงทุนหนักหนาสาหัส ถึงจุดสูงสุดมองว่าเป็นเมืองเอกแตกไปแล้ว
P { margin: 0px; }
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 3 กันยายนว่า สื่อมวลชนต่างประเทศยังคงจับตามองพัฒนาการทางการเมืองของไทย และเห็นสภาพตีบตันทางการเมืองมากขึ้นทุกขณะ เนื้อหาหลักในการนำเสนอของสื่อต่างประเทศก็คือ การประกาศภาวะฉุกเฉินดำเนินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เอพีเห็นว่า การประกาศดังกล่าวถูกดูถูกจากกลุ่มพันธมิตรด้วยซ้ำไป
ขณะที่ ชอว์น คริสพิ่น แห่ง เอเชียไทม์ส ออนไลน์ (เอโอแอล) ระบุว่า สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าคือ เลือดที่จะไหลนองมากขึ้นและความสับสนทางการเมืองที่จะทวีคูณขึ้นเมื่อ คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต)มีมติที่อาจส่งผลถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชนในข้อหาโกงการเลือกตั้ง

ในทางตรงกันข้าม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลสะเทือนต่อภาพลักษณ์ในเชิงธุรกิจและการลงทุนหนักหนาสาหัสมากขึ้นตามลำดับ รายงานของสำนักข่าว บลูมเบิร์ก ระบุว่า เครดิตสวิส ธนาคารเพื่อการลงทุนระดับโลก แนะบรรดานักลงทุนที่เป็นลูกค้าของตนเองให้เลี่ยงการลงทุนในไทย พร้อมๆกับที่ คริสพิ่น อ้างแหล่งข่าวที่ในธนาคารเพื่อการลงทุนใหญ่ของภูมิภาคเอเชียระบุว่า นักลงทุนเริ่มสอบถามเข้ามามากและถี่ขึ้นตามลำดับแล้วว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยจะส่งผลลบต่อทั้งภูมิภาคได้หรือไม่

"การเมืองไทยถูกมองอยู่ก่อนแล้วว่าอยู่ในภาวะโกลาหล เหตุการณ์ล่าสุดได้ยกระดับภาพที่ว่านั้นขึ้นถึงจุดสูงสุด ตอนนี้ไทยถูกมองว่าเป็นเมืองเอกแตกไปแล้ว" แหล่งข่าวระบุ ในขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์ที่เป็นที่รู้จักกันในระดับโลก 2 ฉบับ เสนอบทบรรณาธิการเกี่ยวกับสถานการณ์ในไทยในวันเดียวกันนี้ โดย ไฟแนนเชียล ไทม์ส เชื่อว่าทางลงของ สมัคร สุนทรเวช น่าจะเดินไปตามแนวทางรัฐสภาด้วยการยุบสภาหรือพรรคร่วมรัฐบาลกดดันให้ออกและ จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว ในขณะที่ ดิ อินดีเพนเดนท์ ตั้งคำถามไว้น่าสนใจอย่างยิ่งยวดว่า "หรือถึงเวลาต้องพึ่งพระบารมีมารักษาประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งแล้ว"

ทางด้านองค์การนิรโทษกรรมสากล (แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล) ออกแถลงการณ์ในกรุงลอนดอนในวันเดียวกันนี้เรียกร้องไม่ให้รัฐบาลไทยใช้พรก.ฉุกเฉินไปในทางที่จะลิดรอนสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ทั้งนี้ นาย เบนจามิน ซาแวคซกี้ นักวิจัยทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศระบุว่า กฎหมายระหว่างประเทศได้ให้หลักประกันเป็นพื้นฐานไว้ว่า ประชาชนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเองได้ แม้ในยามที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินก็ตาม

นางสาวกิริฎา เภาพิจิต นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลกประจำประเทศไทยกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองที่มีความรุนแรงขึ้นว่า มองว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยในระยะสั้นเท่านั้น และยังไม่กระทบต่อการลงทุนระยะยาว เนื่องจากนักลงทุนจะมองที่ปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว ซึ่งในส่วนของเศรษฐกิจมหภาคเองมีหน่วยงานต่างๆ ดูแลอยู่แล้ว และหากการเมืองไม่กระทบนโยบายก็จะไม่ทำให้เกิดความกังวล แต่ถ้าหากการเมืองส่งผลให้นโยบายเปลี่ยนแปลง เช่นจากเดิมที่ประเทศไทยมีนโยบายเปิดประเทศมาตลอดเพื่อต้อนรับนักลงทุน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นไม่เปิดประเทศก็จะกระทบนักลงทุน
“ปี 2550 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 15 จากทั่วโลกในด้านกฎระเบียบที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน ส่วนในปีนี้จะมีการประเมินในวันที่ 10 กันยายน ในด้านกฎระเบียบว่าจะอยู่อันดับใด” นางสาวกิริฎากล่าว

ที่มา
มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/
โดยนายศรัณยู บุญประจง ID 5131601500
section 02 สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง